วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มาเต้นแอโรบิคเพื่อสุขภาพกันเถอะ



พื้นฐาน การเต้นแอโรบิค

การเต้นแอโรบิค(Aerobic Exercise) คือการออกกำลังบริหารร่างกายเพิ่มการเผาผลาญออกซิเจน
ด้วยการเคลื่อนไหวร่างกายทุกส่วน โดยประยุกต์ท่ากายบริหารให้เข้ากับจังหวะดนตรีต่างๆ
ประโยชน์ของการเต้นแอโรบิค

การเต้นแอโรบิคอย่างเพียงพอและฝึกเป็นประจำสม่ำเสมอจะมีผลดีต่อร่างกายดังนี้
1.ระบบกล้ามเนื้อ
ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น สามารถเกร็งและคลายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการทำงานที่สมดุลกัน และทำให้รูปร่างสวยงามสมส่วนขึ้น เพราะว่าไขมันที่มาห่อหุ้มร่างกายอยู่ได้ถูกนำไปใช้เผาผลาญเป็นพลังงาน นอกจากนั้นยังจะช่วยทำให้มีการสะสมสารต้นกำเนิดพลังงานและสารที่เกี่ยวข้อง คือไกลโคลเจน เกลือแร่ ฯลฯ อีกด้วย
2.ระบบกระดูก ทำให้ข้อต่อและระบบประสาทสั่งงาน ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.ระบบการไหลเวียนของโลหิต
ทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น การสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น หลอดเลือดต่างๆ มีความยืดหยุ่นดีขึ้น สามารถช่วยเพิ่มประมาณและคุณภาพของเม็ดเลือดแดง นอกจากนี้ยังจะช่วยทำให้ชีพจรและความดันโลหิตกลับเข้าสู่สภาพปกติได้อีกด้วย
4.ระบบการหายใจ
ช่วยให้ทางเดินหายใจ ปอด และ กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงขึ้น
5.ระบบเผาผลาญอาหารในร่างกายช่วยเพิ่มอัตราความเร็วของขบวนการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานของร่างกาย ช่วยทำลายเซลเสื่อมสภาพต่าง ๆ เพื่อเร่งให้ร่างกายสร้างเซลใหม่ๆ ขึ้นมาแทนที่ นอกจากนี้ ยังช่วยระบบย่อยอาหารให้ทำงานดีขึ้น นอนหลับสบาย เมื่อตื่นขึ้นจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ทำงานได้อย่างกระฉับกระเฉง
6.ระบบควบคุม
ช่วยทำให้ร่างกายปรับสมดุลของระบบประสาทอัติโนมัติและระบบต่อมไร้ท่อ ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนต่างๆ ออกมาอย่างเป็นปกติ
7.การทำงานร่วมกันของกล้ามเนื้อและระบบประสาท
ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อและเส้นประสาทสำหรับผู้ที่เคร่งเครียดกับการทำงานหนัก
8.บุคลิค การเคลื่อนไหว และการจัดระเบียบร่างกาย
ทำให้ควบคุมร่างกายได้ดีขึ้น ร่างกายโดยรวมมีความอ่อนตัว และเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วขึ้น ทำให้อารมณ์เบิกบานและจิตใจแจ่มใส มีสง่าราศี
9.ร่างกายจะหลั่งสารเอ็นโดฟีน
ซึ่งก่อให้เกิดความสุข เพราะว่าขณะออกกำลังกาย อย่างมีความสุข ไร้การแข่งขัน จึงไม่มีความเครียด ซึ่งต่างกับการออกกำลังกายที่เน้นการแข่งขัน การออกกำลังกายที่เน้นการแข่งขัน ร่างกายจะหลั่งสารคนละตัว มีชื่อว่า อดีนาลีน ซึ่งตัวนี้ จะก่อให้เกิดความเครียด ผลของการออกกำลังกายจะต่างกัน รูปร่างหน้าตาจะสดใสต่างกัน

ขั้นตอนการเต้นแอโรบิค
การเต้นแอโรบิค แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนดังนี้
อบอุ่นร่างกาย (Warm Up)
แอโรบิค(Aerobic)
ผ่อนคลาย (Cool Down)

การเตรียมตัวเพื่อการเต้นแอโรบิค
สวมเสื้อผ้าให้กระชับ พอดีตัว เพื่อความคล่องตัว
อย่าสวมเสื้อผ้าหนาจนเกินไป เพราะจะทำให้อากาศถ่ายเทไม่ดีพอ อับชื้น เป็นบ่อเกิดให้เป็นเชื้อราทางผิวหนัง หรือสิว ตามตัวได้
สวมรองเท้าผ้าใบและถุงเท้าทุกครั้ง เพื่อป้องกันการบาดเจ็บของเท้า
เตรียมน้ำ 1 ขวด เอาไว้ดื่มแก้กระหายในเวลาพักแต่ละช่วง เพื่อป้องกันอาการขาดน้ำ อาจจะช็อกได้
เตรียมผ้าขนหนู 1 ผืนเอาไว้ซับเหงื่อ
งดรับประทานอาหารก่อนการเต้นแอโรบิค 1.30-2.00 ชั่วโมง เนื่องจากอาจทำให้จุก เสียด อาเจียน ขณะเต้นแอโรบิคได้
ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ตรวจสอบความพร้อมของร่างกายและขอคำปรึกษาก่อนเริ่มเต้นฯในครั้งแรกๆ เนื่องจากการเต้นแอโรบิคอาจจะเป็นการออกกำลังกายที่ถือว่าหนักเกินไป สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางโรค เช่น โรคหัวใจ หรือท่าบริหารบางท่าอาจจะทำให้ท่านบาดเจ็บได้ เช่นท่ากระโดด เมื่อข้อเข่าของท่านไม่แข็งแรง
ก่อนออกกำลังกายควรล้างเครื่องสำอางค์หรือครีมบำรุงผิวออกให้หมดทุกครั้ง เพื่อเป็นการเปิดผิว เวลาออกกำลังกาย เหงื่อจะได้ระบายออกได้โดยสะดวก สิ่งสกปรกไม่อุดตันรูขุมขน ผิวพรรณจะสดใส

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

โรคมะเร็งในตับ...



โรคมะเร็งตับ

โรคมะเร็งตับเป็นโรคที่เกิดจากเซลล์ของตับกลายเป็นเซลล์มะเร็.มีการแบ่งตัว และแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ปัจจัยเสี่ยงได้แก่ การดื่มสุรา การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
มะเร็งตับคืออะไร
ตับเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย มีน้ำหนักโดยประมาณ 2 %ของน้ำหนักตัว ตำแหน่งของตับอยู่ชายโครงขวา แบ่งเป็น 2 กลีบคือกลีบขวา และซ้ายโดยมีเส้นเลือดมาเลี้ยง 2 เส้นคือ hepatic artery และ portal vein ตับมีหน้าที่สะสมสารอาหาร เช่น น้ำตาล โปรตีน ไขมัน และวิตามินไว้ให้ร่างกายใช้ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ทำลายของเสีย
ตับยังทำหน้าที่สร้างไข่ขาว Albumin ซึ่งทำทำหน้าที่รักษาความสมดุลของน้ำในเซลล์และเนื้อเยื่อ และยังนำฮอร์โมนไปเนื้อเยื่อ
ชนิดของเนื้องอกตับ
มีทั้งที่เป็นเนื้องอกธรรมดา และเป็นเนื้องอกร้ายท่านผู้อ่านคงต้องจำชื่อโรคไว้เพราะการรักษาต่างกัน
1.Hemangioma เป็นเนื้องอกที่เกิดจากหลอดเลือด ไม่มีอาการ บางรายมีเลือดออก การรักษาใช้ผ่าตัด
2.Hepatic adenomas เกิดจากเซลล์ตับรวมกันเป็นก้อน ผู้ป่วยมาด้วยแน่นท้อง หรือคลำได้ก้อนที่ท้อง มักพบในผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน การรักษาใช้ผ่าตัดเอาออก
3.Focal nodular hyperplasia (FNH) เกิดจากการรวมตัวกันของเซลล์ตับหลายชนิด เช่น เซลล์ของเนื้อตับ เซลล์ของท่อน้ำดี การรักษาผ่าตัดเอาเนื้องอกออก

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

โรคเอดส์ที่ควรรู้


เอดส์ หรือ AIDS (Acquired Immune Deficiency Syndrome) เป็นกลุ่มอาการของโรค ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอดส์ ซึ่งจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือกขาว ซึ่งเป็นแหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ติดเชื้อโรคอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือเป็นมะเร็งบางชนิดได้ง่ายกว่าคนปกติ อาการจะรุนแรง และเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต

เอดส์ ติดต่อกันได้อย่างไร
1. การร่วมเพศ โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ไม่ว่าชายกับชาย ชายกับหญิง หรือหญิงกับหญิง ทั้งช่องทางธรรมชาติ หรือไม่ธรรมชาติ ก็ล้วนมีโอกาสติดโรคนี้ได้ทั้งสิ้น และปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อมากขึ้น ได้แก่ การมีแผลเปิด และจากข้อมูลของสำนักระบาดวิทยา ประมาณร้อยละ 84 ของผู้ป่วยเอดส์ ได้รับเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์
2. การรับเชื้อทางเลือด
- ใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์ มักพบในกลุ่มผู้ฉีดยาเสพติด และหากคนกลุ่มนี้ติดเชื้อ ก็สามารถถ่ายทอดเชื้อเอดส์ ทางเพศสัมพันธ์ได้อีกทางหนึ่ง
- รับเลือดในขณะผ่าตัด หรือเพื่อรักษาโรคเลือดบางชนิด ในปัจจุบันเลือดที่ได้รับบริจาคทุกขวด ต้องผ่านการตรวจหาการติดเชื้อเอดส์ และจะปลอดภัยเกือบ 100%
3. ทารก ติดเชื้อจากแม่ที่ติดเชื้อเอดส์ การแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูก ผู้หญิงที่ติดเชื้อเอดส์ หากตั้งครรภ์ และไม่ได้รับการดูแลอย่างดี เชื้อเอช ไอ วี จะแพร่ไปยังลูกได้ ในอัตราร้อยละ 30 จากกรณีเกิดจากแม่ติดเชื้อ จึงมีโอกาสที่จะรับเชื้อเอช ไอ วี จากแม่ได้


เอดส์ มีอาการอย่างไร
คนที่สัมผัสกับโรคเอดส์หรือคนที่ได้รับเชื้อเอดส์เข้าไปในร่างกายม่จำเป็นต้องมีการติดเชื้อเอดส์เสมอไปขึ้นกับจำนวนครั้งที่สัมผัสจำนวนและความดุร้ายของไวรัสเอดส์ที่เข้าสู่ร่างกายและภาวะภูมิต้านทานของร่างกายถ้ามีการติดเชื้ออาการที่เกิดขึ้นมีได้หลายรูปแบบหรือหลายระยะตามการดำเนินของโรค
ระยะที่ 1 : ระยะที่ไม่มีอาการอะไร
ภายใน2-3 อาทิตย์แรกหลังจากได้รับเชื้อเอดส์เข้าไป ราวร้อยละ 10 ของผู้ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายๆ ไข้หวัด คือมีไข้ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต ผื่นตามตัว แขน ขาชาหรืออ่อนแรง เป็นอยู่ราว 10-14 วันก็จะหายไปเอง ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจไม่สังเกต นึกว่าคงเป็นไข้หวัดธรรมดาราว 6-8 สัปดาห์ภายหลังติดเชื้อ ถ้าตรวจเลือดจะเริ่มพบว่ามีเลือดเอดส์บวกได้ และส่วนใหญ่จะตรวจพบว่ามีเลือดเอดส์บวกภายหลัง 3 เดือนไปแล้ว โดยที่ผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการอะไรเลยเพียงแต่ถ้าไปตรวจก็จะพบว่ามีภูมิคุ้นเคยต่อไวรัสเอดส์อยู่ในเลือดหรือที่เรียกว่าเลือดเอดส์บวกซึ่งแสดงว่ามีการติดเชื้อเอดส์เข้าไปแล้วร่างกายจึงตอบสนองโดยการสร้างโปรตีนบางอย่างขึ้นมาทำปฏิกิริยากับไวรัสเอดส์เรียกว่าแอนติบอดีย์(antibody)เป็นเครื่องแสดงว่าเคยมีเชื้อเอดส์เข้าสู่ร่างกายมาแล้วแต่ก็ไม่สามารถจะเอาชนะไวรัสเอดส์ได้คนที่มีเลือดเอดส์บวกจะมีไวรัสเอดส์อยู่ในตัวและสามารถแพร่โรคให้กับคนอื่นได้ น้อยกว่าร้อยละ 5 ของคนที่ติดเชื้ออาจต้องรอถึง 6 เดือนกว่าจะมีเลือดเอดส์บวกได ดังนั้นคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงมา เช่น แอบไปมีสัมพันธ์กับหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยา โดยไม่ได้ใส่ถุงยางอนามัยป้องกัน ตรวจตอน 3 เดือน แล้วไม่พบก็ต้องไปตรวจซ้ำอีกตอน6เดือนโดยในระหว่างนั้นก็ต้องใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเวลามีเพศสัมพันธ์กับภรรยาและห้ามบริจาคโลหิตให้ใครในระหว่างนั้นผู้ติดเชื้อบางรายอาจมีต่อมน้ำเหลืองตามตัวโตได้โดยโตอยู่เป็นระยะเวลานานๆ คือเป็นเดือนๆ ขึ้นไป ซึ่งบางรายอาจคลำพบเอง หรือไปหาแพทย์แล้วแพทย์คลำพบ ต่อมน้ำเหลืองที่โตนี้มีลักษณะเป็นเม็ดกลมๆ แข็งๆ ขนาด1-2 เซนติเมตร อยู่ใต้ผิวหนังบริเวณด้านข้างคอทั้ง 2 ข้าง(รูปที่ 2) ข้างละหลายเม็ดในแนวเดียวกัน คลำดูแล้วคลายลูกประคำที่คอไม่เจ็บ ไม่แดง นอกจากที่คอต่อมน้ำเหลืองที่โตยังอาจพบได้ที่รักแร้และขาหนีบทั้ง 2 ข้าง แต่ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบมีความสำคัญน้อยกว่าที่อื่นเพราะพบได้บ่อยในคนปกติทั่วไป ต่อมน้ำเหลืองเหล่านี้จะเป็นที่พักพิงในช่วงแรกของไวรัสเอดส์ โดยไวรัสเอดส์จะแบ่งตัวอย่างมากในต่อมน้ำเหลืองที่โตเหล่านี้
ระยะที่ 2 : ระยะที่เริ่มมีอาการหรือระยะที่มีอาการสัมพันธ์กับเอดส์
เป็นระยะที่คนไข้เริ่มมีอาการ แต่อาการนั้นยังไม่มากถึงกับจะเรียกว่าเป็นโรคเอดส์เต็มขั้น อาการในช่วงนี้อาจเป็นไข้เรื้อรัง น้ำ หนักลด หรือท้องเสียงเรื้อรัง โดยไม่ทราบสาเหตุ นอกจากนี้อาจมีเชื้อราในช่องปาก(รูปที่ 3), งูสวัด(รูปที่ 4), เริมในช่องปาก หรืออวัยวะ เพศ ผื่นคันตามแขนขา และลำตัวคล้ายคนแพ้น้ำลายยุง(รูปที่ 5) จะเห็นได้ว่า อาการที่เรียกว่าสัมพันธ์กับเอดส์นั้น ไม่จำเพาะสำหรับโรคเอดส์เสมอไป คนที่เป็นโรคอื่นๆ ก็อาจมีไข้ น้ำหนักลด ท้องเสีย เชื้อราในช่องปาก งูสวัด หรือเริมได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าถ้ามีอาการเหล่านี้จะต้องเหมาว่าติดเชื้อเอดส์ไปทุกร้าย ถ้าสงสัยควรปรึกษา แพทย์และตรวจเลือดเอดส์พิสูจน์
ระยะที่ 3 : ระยะโรคเอดส์เต็มขั้น หรือที่ภาษาทางการเรียกว่าโรคเอดส์
เป็นระยะที่ภูมิต้านทานของร่ายกายเสียไปมากแล้วผู้ป่วยจะมีอาการของการติดเชื้อจำพวกเชื้อฉกฉวยโอกาสบ่อยๆและเป็นมะเร็งบางชนิดเช่นแคโปซี่ซาร์โคมา(Kaposi'ssarcoma)และมะเร็งปากมดลูก การติดเชื้อฉกฉวยโอกาสหมายถึงการติดเชื้อที่ปกติมีความรุนแรงต่ำไม่ก่อโรคในคนปกติแต่ถ้าคนนั้นมีภูมิต้านทานต่ำลงเช่นจากการเป็นมะเร็งหรือจากการได้รับยาละทำให้เกิดวัณโรคที่ปอดต่อมน้ำเหลืองตับหรือสมองได้ รองลงมาคือเชื้อพยาธิที่ชื่อว่านิวโมซิส-ตีส-คารินิไอ ซึ่งทำให้เกิดปอดบวมขึ้นได้(ไข้ ไอ หายใจเหนื่อยหอบ) ต่อมาเป็นเชื้อราที่ชื่อ คริปโตคอคคัสซึ่งทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีอาการไข้ ปวดศีรษะ ซึมและอาเจียน นอกจากนี้ยังมีเชื้อฉกฉวยโอกาสอีกหลายชนิด เช่นเชื้อพยาธิที่ทำให้ท้องเสียเรื้อรัง และเชื้อซัยโตเมก กะโลไวรัส (CMV) ที่จอตาทำให้ตาบอด หรือที่ลำไส้ทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย และถ่ายเป็นเลือดเป็นต้นในภาคเหนือตอนบน มีเชื้อราพิเศษ ชนิดหนึ่งชื่อ เพนนิซิเลียว มาร์เนฟฟิโอ ชอบทำให้ติดเชื้อที่ผิวหนัง(รูปที่ 6) ต่อมน้ำเหลืองและมีการติดเชื้อในกระแสโลหิตแคโปซี่ ซาร์โค มา เป็นมะเร็งของผนังเส้นเลือด ส่วนใหญ่จะพบตามเส้นเลือดที่ผิวหนัง มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีม่วงๆ แดงๆ บนผิวหนัง คล้ายจุดห้อเลือด หรือไฝ ไม่เจ็บไม่คันค่อยๆ ลามใหญ่ขึ้น ส่วนจะมีหลายตุ่ม(รูปที่ 7) บางครั้งอาจแตกเป็นแผล เลือดออกได้ บางครั้งแคโปซี่ซาร์โคมา อาจเกิดในช่องปากในเยื่อบุทางเดินอาหาร ซึ่งอาจทำให้มีเลือดออกมากๆ ได้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งปากมดลูกได้ ดังนั้นผู้หญิงที่ติดเชื้อเอดส์จึงควรพบแพทย์เพื่อตรวจมะเร็งปากมดลูกทุก 6 เดือน นอกจากนี้คนไข้โรคเอดส์เต็มขั้นอาจมีอาการทางจิตทางประสาทได้ด้วยโดยที่อาจมีอาการหลงลืมก่อนวัย เนื่องจากสมองฝ่อเหี่ยว หรือมีอาการของโรคจิต หรืออาการชักกระตุก ไม่รู้สึกตัว แขนขาชาหรือไม่มีแรง บางรายอาจมีอาการปวดร้าวคล้ายไฟช๊อตหรือปวดแสบปวดร้อน หรืออาจเป็นอัมพาตครึ่งท่อน ปัสสาวะ อุจจาระไม่ออก เป็นต้น ในแต่ละปีหลังติดเชื้อเอดส์ร้อยละ 5-6 ของผู้ที่ติดเชื้อจะก้าวเข้าสู่ระยะเอดส์เต็มขั้นส่วนใหญ่ของคนที่เป็นโรคเอดส์เต็มขั้นแล้ว จะเสียชีวิตภายใน2-4 ปี จากโรคติดเชื้อฉกฉวยโอกาสที่เป็นมาก รักษาไม่ไห หรือโรคติดเชื้อที่ยังไม่มียาที่จะรักษาอย่างได้ผล หรือเสียชีวิตจากมะเร็งที่เป็นมากๆ หรือค่อยๆ ซูบซีดหมดแรงไปในที่สุด พบว่ายาต้านไวรัสเอดส์ที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้ในประเทศตะวันตกสามารถยืดชีวิตคนไข้ออกไปได้10 - 20 ปีและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น หรืออาจอยู่จนแก่ตายได้

อาการของเอดส์ มี 2 ระยะ
1. ระยะไม่มีอาการ ผู้ติดเชื้อจะมีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะอยู่ในระยะนี้ และบางคนไม่ทราบว่า ตัวเองติดเชื้อ จึงอาจแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้
2. ระยะมีอาการ ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะเริ่มแสดงอาการ ภายหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 7-8 ปี แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ
- ระยะเริ่มปรากฎอาการ อาการที่พบคือ มีเชื้อราในปาก ต่อมน้ำเหลืองโต งูสวัด มีไข้ ท้องเสีย น้ำหนักลด มีตุ่มคันบริเวณผิวหนัง
- ระยะโรคเอดส์ เป็นระยะที่มีภูมิต้านทานลดลงมาก ทำให้ติดโรคติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่ายขึ้น เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น

ป้องกันตัวเอง ไม่ให้ติดเชื้อเอดส์ ได้อย่างไร
รักเดียว ใจเดียว หากจะมีเพศสัมพันธ์กับหญิง ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ที่มีเพศสัมพันธ์
ขอรับบริการปรึกษา เรื่อง โรคเอดส์ ก่อนแต่งงาน และก่อนที่จะมีบุตรทุกท้อง
ไม่ดื่มเหล้า และงดใช้สารเสพติดทุกชนิด

วิธีใช้ถุงยางอนามัย

- หลังจากตรวจสอบว่า ถุงยางอนามัยไม่หมดอายุ ซองไม่มีรอยฉีกขาด ฉีกมุมซองโดยระมัดระวัง ไม่ให้เล็บมือเกี่ยวถุงยางอนามัยขาด
- ใช้ถุงยางอนามัยในขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัว บีบปลายถุงยาง เพื่อไล่อากาศ
- รูดถุงยางอนามัย โดยให้ม้วนขอบอยู่ด้านนอก

- สวมถุงยางอนามัย แล้วรูดให้ขอบถุงยางอนามัย ถึงโคนอวัยวะเพศ
- หลังเสร็จกิจ ควรรีบถอดถุงยางอนามัย ในขณะที่อวัยวะเพศยังแข็งตัว โดยใช้กระดาษชำระหุ้มถุงยางอนามัยก่อนที่จะถอด หากไม่มีกระดาษชำระต้องระวัง ไม่ให้มือสัมผัสกับด้านนอกของถุงยาง ควรสันนิษฐานว่า ด้านนอกของถุงยาง อาจจะปนเปื้อนเชื้อเอดส์แล้ว
- ทิ้งถุงยางอนามัยที่ใช้แล้ว ลงในภาชนะรองรับ เช่น ถังขยะ

เอดส์ รู้ได้อย่างไรว่า ติดแล้ว
เนื่องจากโรคนี้แสดงอาการช้า แต่สามารถทราบได้ โดยการตรวจเลือด หากต้องการผลที่แม่นยำ ควรตรวจภายหลังจากมีพฤติกรรมเสี่ยง 6 สัปดาห์ขึ้นไป

เอดส์ รักษาได้หรือไม่
ขณะนี้ยังไม่มียารักษาโรคเอดส์ให้หายได้ ยาที่ใช้ปัจจุบันจะช่วยยับยั้ง ไม่ให้ไวรัสเอดส์เพิ่มจำนวนมากขึ้น ในร่างกายผู้ติดเชื้อ และผู้ป่วยเอดส์จะมีสุขภาพแข็งแรง สามารถทำงานได้ตามปกติ

เอดส์ ใครบ้างที่ควรตรวจหาเชื้อเอดส์
- ผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง และต้องการรู้ว่าตนเองติดเชื้อเอดส์หรือไม่
- ผู้ที่ตัดสินใจจะมีคู่ หรืออยู่กินฉันท์สามีภรรยา
- ผู้ที่สงสัยว่า คู่นอนของตนจะมีพฤติกรรมเสี่ยง
- ผู้ที่คิดจะมีบุตร ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของแม่และลูก
- ผู้ที่ต้องการข้อมูลสนับสนุนเรื่องความปลอดภัย และสุขภาพของร่างกาย เช่น ผู้ที่ต้องไปทำงานในต่างประเทศ (บางประเทศ)

เอดส์ เราอยู่ร่วมกันได้
คนที่ติดเชื้อ เอช ไอ วี สามารถอยู่ร่วมกับสังคม และครอบครัวได้ และทำงานได้เหมือนกับคนทั่วไป เพราะเชื้อเอช ไอ วี ไม่ได้ติดต่อกันโดย การสัมผัส การกอดจูบ การรับประทานอาหาร การขับถ่าย การใช้ของร่วมกัน การอยู่ใกล้กัน การสนทนากัน หรือถูกยุงกัด ดังนั้น จึงไม่ต้องแยกวงรับประทานอาหาร ไม่ต้องแยกห้องนอน ห้องน้ำ อุปกรณ์ของใช้ต่างๆ หรือห้องทำงาน

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ข้าวซอย



ข้าวซอย คืออาหารพื้นเมืองทางภาคเหนือของประเทศไทย เดิมเรียกว่า "ก๋วยเตี๋ยวฮ่อ" เป็นอาหารที่คล้ายเส้นบะหมี่ ในน้ำซุปที่ใส่เครื่องแกง รสจัดจ้าน ในตำรับดั้งเดิม ข้าวซอยจะมีส่วนประกอบของเนื้อหมูหรือเนื้อไก่หรือเนื้อวัว มีเครื่องเคียงได้แก่ ผักกาดดอง หอมหัวแดง และมีเครื่องปรุงรส เช่น พริกผัดน้ำมัน น้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาล ปัจจุบันอาจเพิ่มอาหารทะเลหรือเต้าหู้เป็นส่วนประกอบ อาหารจานนี้มักไม่ค่อยมีจำหน่ายในร้านอาหารไทยในต่างประเทศ จะพบบ่อยก็แต่ทางภาคเหนือของไทย

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ (อังกฤษ: computer) หรือในภาษาไทยว่า คณิตกรณ์[2][3] คือ เครื่องมือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่มีความสามารถในการคำนวณอัตโนมัติตามคำสั่ง ส่วนที่ใช้ประมวลผลเรียกว่าหน่วยประมวลผล ชุดของคำสั่งที่ระบุขั้นตอนการคำนวณเรียกว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้นอาจเป็นได้ทั้ง ตัวเลข ข้อความ รูปภาพ เสียง หรืออยู่ในรูปอื่น ๆ อีกมากมาย
ลักษณะทางกายภาพของคอมพิวเตอร์นั้นมีหลากหลาย มีทั้งขนาดที่ใหญ่มากจนต้องใช้ห้องทั้งห้องในการบรรจุ และขนาดเล็กจนวางได้บนฝ่ามือ การจัดแบ่งประเภทของคอมพิวเตอร์สามารถจัดแบ่งได้ตามขนาดทางกายภาพเป็นสำคัญ ซึ่งมักจะแปลผันกับประสิทธิภาพความเร็วในการประมวลผล โดยขนาดคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเรียกว่า ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ใช้กับการคำนวณผลทางวิทยาศาสตร์ ขนาดรองลงมาเรียกว่า เมนเฟรม มักใชัในบริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องมีการประมวลผลธุรกรรมทางธุรกิจจำนวนมากๆ สำหรับคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่ใช้ในระดับบุคคลเรียกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่พกพาได้เรียกว่า คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ส่วนคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่สามารถวางบนฝ่ามือได้เรียกว่า พีดีเอ อย่างไรก็ตามคอมพิวเตอร์มีใช้กันอย่างกว้างขวางมาก ซึ่งมีอุปกรณ์หลายๆชนิดได้นำคอมพิวเตอร์ไปใช้เป็นกลไกหลักในการทำงาน เช่น กล้องดิจิทัล เครื่องเล่นเอ็มพีสาม หรือในรถยนต์เองก็มีคอมพิวเตอร์ที่ใช้ช่วยในการตรวจสอบระบบการทำงานของเครื่องยนต์
ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์โดยรวมแล้ววัดกันที่ความเร็วการประมวลผล ซึ่งตามกฏของมัวร์ (Moore's Law) คอมพิวเตอร์จะเพิ่มประสิทธิภาพเป็นเท่าทวีคูณในทุกปี
เนื้อหา
[ซ่อน]
• 1 ประวัติของคอมพิวเตอร์
• 2 ประเภทของคอมพิวเตอร์
o 2.1 ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputer)
o 2.2 เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer)
o 2.3 มินิคอมพิวเตอร์ (minicomputer)
o 2.4 ไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer) หรือ พีซี (personal computer หรือ PC )
• 3 การทำงานของคอมพิวเตอร์
o 3.1 หน่วยประมวลผล
o 3.2 หน่วยความจำ
• 4 ตัวอย่างประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
• 5 อ้างอิง
• 6 ดูเพิ่ม
• 7 แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้] ประวัติของคอมพิวเตอร์



คอมพิวเตอร์ อตานาซอฟฟ์-เบอร์รี หนึ่งในคอมพิวเตอร์ที่เก่าแก่ที่สุดของโลก ในรูปเป็นเครื่องจำลองตั้งอยู่ที่ มหาวิทยาลัยไอโอวาสเตต
เป็นเรื่องยากที่จะชี้ชัดลงไปว่าอุปกรณ์ใดจัดเป็นคอมพิวเตอร์ยุคแรก ๆ เพราะคำว่า "คอมพิวเตอร์" เองก็มีการตีความเปลี่ยนไปมาอยู่เสมอ แต่จุดเริ่มของคำนี้หมายถึงคนที่ทำหน้าที่เป็นนักคำนวณในสมัยนั้น
ช่วงปี ค.ศ. 1930 ถึงช่วงปี ค.ศ. 1940 เป็นช่วงที่โลกได้มีคอมพิวเตอร์ที่สามารถโปรแกรมได้และคำนวณผลลัพธ์ได้มีประสิทธิภาพจริง แต่เป็นการยากที่จะตัดสินได้ว่าคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกENIAC (Electronics Numerical Integrator and Computer) เกิดขึ้นในปี1946 และประดิษฐ์โดย จอห์น ดับลิว มอชลีย์ (John W. Mauchly) และ เจ เพรสเพอร์ เอคเกิรต (J. Prespern Eckert) ทำงานโดยใช้หลอดสุญญากาศจำนวน 18,000 หลอด มีน้ำหนัก 30 ตัน ใช้เนื้อที่ห้อง 15,000 ตารางฟุต เวลาทำงานต้องใช้กำลังไฟถึง 140 กิโลวัตต์ คำนวณในระบบเลขฐานสิบ
• ค.ศ. 1941 เป็นครั้งแรกที่โลกได้มีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่สามารถตั้งโปรแกรมได้อย่างอิสระ ผู้พัฒนาคือ Konrad Zuse และชื่อคอมพิวเตอร์คือ Z1 Computer
• ค.ศ. 1941 จอห์น อตานาซอฟฟ์ และ คลิฟฟอร์ด เบอร์รี ที่ มหาวิทยาลัยไอโอวาสเตต ได้ร่วมกันสร้าง คอมพิวเตอร์ อตานาซอฟฟ์-เบอร์รี ซึ่งสามารถประมวลผลเลขฐานสอง
• ค.ศ. 1944 John Presper Eckert และ John W. Mauchly ได้ร่วมกันสร้างอีนิแอก ซึ่งใช้หลอดสูญญากาศจำนวน 20,000 หลอด เพื่อสร้างหน่วยประมวลผล และถือได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกสำหรับการใช้งานทั่วไป โดยมีการประมวลผลแบบทศนิยม โดยหากต้องการตั้งโปรแกรมจะต้องต่อสายเชื่อมต่อเครื่องอุปกรณ์ใหม่ทั้งหมด
• ค.ศ. 1948 Frederic Williams และ Tom Kilburn สร้างคอมพิวเตอร์ที่ใช้ หลอดรังสีคาโทด เป็นหน่วยความจำ
• ค.ศ. 1947 ถึง 1948 John Bardeen, Walter Brattain และ Wiliam Shockley สร้างคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทราสซิสเตอร์ ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่สำคัญ
• ค.ศ. 1951 John Presper Eckert และ John W. Mauchly ได้พัฒนา UNIVAC Computer ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มีการขาย
• ค.ศ. 1953 ไอบีเอ็ม (IBM) ออกจำหน่าย EDPM เป็นครั้งแรก และเป็นก้าวแรกของไอบีเอ็มในธุรกิจคอมพิวเตอร์
• ค.ศ. 1954 John Backus และ IBM ร่วมกันสร้างภาษาคอมพิวเตอร์ชื่อ FORTRAN ซึ่งเป็นภาษาระดับสูง (high level programming language) ภาษาแรกในประวัติศาสตร์คอมพิวเตอร์
• ค.ศ. 1955 (ใช้จริง ค.ศ. 1959) สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด, ธนาคารแห่งชาติอเมริกา, และ บริษัทเจเนอรัลอิเล็กทริก ร่วมกันสร้าง ERMA และ MICR ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในธุรกิจธนาคาร
• ค.ศ. 1958 Jack Kilby และ Robert Noyce เป็นผู้สร้าง Integrated Circuit หรือ ชิป(Chip) เป็นครั้งแรก
• ค.ศ. 1962 สตีฟ รัสเซลล์ และ เอ็มไอที ได้พัฒนาเกมคอมพิวเตอร์เป็นครั้งแรกของโลกชื่อว่า "Spacewar"
• ค.ศ. 1964 Douglas Engelbart เป็นผู้ประดิษฐ์เมาส์ และ ระบบปฏิบัติการแบบวินโดวส์
• ค.ศ. 1969 เป็นปีที่กำเนิด ARPAnet ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต
• ค.ศ. 1970 อินเทล พัฒนาหน่วยความจำชั่วคราวของคอมพิวเตอร์หรือ RAM เป็นครั้งแรก
• ค.ศ. 1971 Faggin, Hoff และ Mazor พัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลกให้อินเทล (Intel)
• ค.ศ. 1971 Alan Shugart และ IBM พัฒนา ฟลอปปี้ดิสก์ เป็นครั้งแรก
• ค.ศ. 1973 Robert Metcalfe และ Xerox ได้พัฒนาระบบอีเทอร์เน็ต (Ethernet) สำหรับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
• ค.ศ. 1974 ถึง ค.ศ. 1975 Scelbi และ Mark-8 Altair และ IBM ร่วมกันวางจำหน่ายคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ใช้รายย่อยเป็นครั้งแรก
• ค.ศ. 1976 ถึง ค.ศ. 1977 ถือกำเนิด Apple I, II และ TRS-80 และ Commodore Pet Computers ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่นแรกๆ ของโลก
• ค.ศ. 1981 ไมโครซอฟท์ วางจำหนาย MS-DOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมที่สุดในช่วงนั้น
• ค.ศ. 1983 บริษัทแอปเปิล ออกคอมพิวเตอร์รุ่น Apple Lisa ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่ใช้ระบบ GUI
• ค.ศ. 1984 บริษัทแอปเปิล วางจำหน่ายคอมพิวเตอร์รุ่น แอปเปิล แมคอินทอช ซึ่งทำให้มีการใช้คอมพิวเตอร์อย่างกว้างขวาง
• ค.ศ. 1985 ไมโครซอฟท์ วางจำหน่าย ไมโครซอฟท์ วินโดวส์ เป็นครั้งแรก
ประเภทของคอมพิวเตอร์
ในปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ได้ใช้วงจรเบ็ดเสร็จขนาดใหญ่มาก (very large scale integrated circuit) ซึ่งสามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ได้มากกว่าสิบล้านตัว เราสามารถแบ่งคอมพิวเตอร์ในรุ่นปัจจุบันออกเป็น 4 ประเภทดังต่อไปนี้
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputer)
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ถือได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วมาก และมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์ชนิดอื่น ๆ เครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีราคาแพงมาก มีขนาดใหญ่ สามารถคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้หลายแสนล้านครั้งต่อวินาที และได้รับการออกแบบ เพื่อให้ใช้แก้ปัญหาขนาดใหญ่มากทางวิทยาศาสตร์และทางวิศวกรรมศาสตร์ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การพยากรณ์อากาศล่วงหน้าเป็นเวลาหลายวัน การศึกษาผลกระทบของมลพิษกับสภาวะแวดล้อมซึ่งหากใช้คอมพิวเตอร์ชนิดอื่นๆ แก้ไขปัญหาประเภทนี้ อาจจะต้องใช้เวลาในการคำนวณหลายปีกว่าจะเสร็จสิ้น ในขณะที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์สามารถแก้ไขปัญหาได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากการแก้ปัญหาใหญ่ ๆ จะต้องใช้หน่วยความจำสูง ดังนั้น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์จึงมีหน่วยความจำที่ใหญ่มาก ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีหลายประเภท ตั้งแต่รุ่นที่มีหน่วยประมวลผล (processing unit) 1 หน่วย จนถึงรุ่นที่มีหน่วยประมวลผลหลายหมื่นหน่วยซึ่งสามารถทำงานหลายอย่างได้พร้อม ๆ กัน
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer)
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ มีสมรรถภาพที่ต่ำกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์มาก แต่ยังมีความเร็วสูง และมีประสิทธิภาพสูงกว่ามินิคอมพิวเตอร์หรือไมโครคอมพิวเตอร์ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์สามารถให้บริการผู้ใช้จำนวนหลายร้อยคนพร้อม ๆ กัน ฉะนั้น จึงสามารถใช้โปรแกรมจำนวนนับร้อยแบบในเวลาเดียวกันได้ โดยเฉพาะถ้าต่อเครื่องเข้าเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สามารถใช้ได้จากทั่วโลก ปัจจุบัน องค์กรใหญ่ๆ เช่น ธนาคาร จะใช้คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ในการทำบัญชีลูกค้า หรือการให้บริการจากเครื่องฝากและถอนเงินแบบอัตโนมัติ (automatic teller machine) เนื่องจากเครื่องเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ถูกใช้งานมากในการบริการผู้ใช้พร้อม ๆ กัน เมนเฟรมคอมพิวเตอร์จึงต้องมีหน่วยความจำที่ใหญ่มาก
มินิคอมพิวเตอร์ (minicomputer)
มินิคอมพิวเตอร์ คือ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ๆ ซึ่งสามารถบริการผู้ใช้งานได้หลายคนพร้อม ๆ กัน แต่จะไม่มีสมรรถภาพเพียงพอที่จะบริการผู้ใช้ในจำนวนที่เทียบเท่าเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ จึงทำให้มินิคอมพิวเตอร์เหมาะสำหรับองค์กรขนาดกลาง หรือสำหรับแผนกหนึ่งหรือสาขาหนึ่งขององค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น
ไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer) หรือ พีซี (personal computer หรือ PC )
ไมโครคอมพิวเตอร์ คือ คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กแบบขนาดตั้งโต๊ะ (desktop computer) หรือขนาดเล็กกว่านั้น อาทิเช่น ขนาดสมุดบันทึก (notebook computer) และขนาดฝ่ามือ (palmtop computer) ไมโครคอมพิวเตอร์ได้เริ่มมีขึ้นในปีพ.ศ. 2518 ถึงแม้ว่าในระยะหลัง เครื่องชนิดนี้จะมีประสิทธิภาพที่สูง แต่เนื่องจากมีราคาไม่แพงและมีขนาดกระทัดรัด ไมโครคอมพิวเตอร์จึงยังเหมาะสำหรับใช้ส่วนตัว ไมโครคอมพิวเตอร์ได้ถูกออกแบบสำหรับใช้ที่บ้าน โรงเรียน และสำนักงานสำหรับที่บ้าน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการทำงบประมาณรายรับรายจ่ายของครอบครัวช่วยทำการบ้านของลูกๆ การค้นคว้าข้อมูลและข่าวสาร การสื่อสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ (electronic mail หรือ E - mail) หรือโทรศัพท์ทางอินเทอร์เน็ต (internet phone) ในการติดต่อทั้งในและนอกประเทศ หรือแม้กระทั่งทางบันเทิง เช่น การเล่นเกมบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ สำหรับที่โรงเรียน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยสอนนักเรียนในการค้นคว้าข้อมูลจากทั่วโลกสำหรับที่สำนักงาน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยพิมพ์จดหมายและข้อมูลอื่นๆ เก็บและค้นข้อมูล วิเคราะห์และทำนายยอดซื้อขายล่วงหน้า
การทำงานของคอมพิวเตอร์


คอมพิวเตอร์ในยุคแรกๆเช่น ENIAC เวลาโปรแกรมต้องใช้วิธีการเปลี่ยนสายเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นวิธีการที่ยุ่งยากมาก จึงเกิดแนวคิดว่าตัวโปรแกรมน่าจะจัดเก็บอยู่ในส่วนที่สามารถปรับเปลี่ยนแก้ไขได้ง่าย เป็นที่มาของแนวคิดที่ทำการจัดเก็บข้อมูลต่างๆรวมถึงโปรแกรมไว้ใน หน่วยความจำ หรือ memory ทำให้คอมพิวเตอร์จะได้รับคำสั่งโดยการอ่านคำสั่งจากหน่วยความจำ และการปรับเปลี่ยนโปรแกรมสามารถทำได้โดยการเปลี่ยนแปลงค่าภายในหน่วยความจำ
แนวคิดข้างต้นรู้จักในชื่อว่า "Stored-Program Concept" หรือ อีกชื่อว่าสถาปัตยกรรม von Neumann โดยเข้าใจว่า J. Presper Eckert และ John William Mauchly ซึ่งเป็นนักออกแบบ ENIAC เป็นผู้คิดค้นขึ้น
แนวคิดการทำงานแบบ Stored-Program ถูกใช้เป็นแนวคิดหลักของการทำงานในคอมพิวเตอร์จนถึงปัจจุบัน โดยแนวคิดนี้จะแบ่งการทำงานของคอมพิวเตอร์เป็น 4 ส่วนหลักได้แก่
• หน่วยประมวลผลในรูปแบบข้อมูล Binary หรือที่เรียกว่า Arithmetic-Logical Unit (ALU) เปรียบเสมือนหัวใจของคอมพิวเตอร์ หน้าที่หลักของมันคือทำการประมวลผลทางคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐานอันได้แก่การบวกและลบ และการทำการเปรียบเทียบข้อมูลสองข้อมูลว่ามีค่าเท่ากันหรือไม่ถ้าไม่จะมีค่ามากกว่าหรือน้อยกว่า
• หน่วยความจำ หรือ Memory ใช้สำหรับเก็บข้อมูล (Data) และ คำสั่ง (Instructions) โดยข้อมูลภายในหน่วยความจำจะถูกแบ่งเป็นส่วนๆเล็กๆเท่าๆกัน แต่ละส่วนมีที่อยู่ (address) เพื่อใช้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกจัดเก็บเอาไว้
• อุปกรณ์อินพุตและเอาต์พุต หรือ I/O Device เป็นส่วนที่ใช้นำข้อมูลจากโลกภายนอกเข้ามาภายในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อนำมาประมวลผล และเมื่อได้ผลลัพธ์ก็จะนำข้อมูลที่ได้มาแสดงผลให้โลกภายนอกคอมพิวเตอร์ได้รับทราบ
• หน่วยควบคุมการทำงาน หรือ Control Unit เป็นส่วนที่ใช้เชื่อมต่อแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน หน้าที่หลักๆคือทำการอ่านข้อมูลคำสั่งที่อยู่ภายในหน่วยความจำหรือที่ได้จากอุปกรณ์อินพุต ทำการแปลความหมายและส่งไปประมวลผลใน ALU จากนั้นนำผลที่ได้ไปจัดเก็บในหน่วยความจำหรืออุปกรณ์เอาต์พุต หน้าที่หลักอีกประการ คือควบคุมลำดับการทำงานของแต่ละขั้นตอนให้อยู่ในเวลาที่เหมาะสม
หน่วยประมวลผล
การทำงานของหน่วยประมวลผลกลาง หน่วยประมวลผล จะรับคำสั่งและข้อมูลจากหน่วยความจำ โดยส่งเข้าที่ Queue Prefetch Unit จะตรวจสอบว่า ค่าใน Queue เป็นคำสั่งหรือไม่ ถ้าเป็นคำสั่งจะสั่งให้ Bus Interface Unit (BIU) ส่งค่าของคำสั่งไปที่ Decode Unit ถ้าเป็นค่าที่อยู่ (Address) ของหน่วยความจำ จะถูกส่งไปที่ Segment and Paging Unit Segment and Paging Unit จะแปลงที่อยู่ของหน่วยความจำ จากที่อยู่เสมือน (Virtual Address) ในรูปแบบของ segment : offset ให้กลายเป็นที่อยู่จริง (Physical Address) ที่ Bus Interface Unit เข้าใจ หน่วยถอดรหัส (Decode Unit) จะตรวจสอบและแยกแยะคำสั่ง แล้วแปลคำสั่ง และส่งสัญญาณควบคุมไปให้ Execution Unit ทำงานตามคำสั่งนั้นใน Execution Unit จะประกอบด้วย
Control Unit (CU) จะทำหน้าที่ควบคุมการทำงานภายในโปรเซสเซอร์เป็นตัวสั่งงาน Unit อื่นๆตามคำสั่งที่แปลจาก Decode Unit Protection Test Unit จะป้องกันและตรวจสอบการทำงานของส่วนต่างๆ ไม่ให้ทำผิดกฏเกณฑ์ จนเกิดข้อผิดพลาดขึ้น Register จะทำหน้าที่เก็บค่าชั่วคราวก่อนและหลังการประมวลเพื่อส่งให้ส่วนอื่นๆต่อไป เป็นเหมือนกระดาษทดชัว่คราว สำหรับ ALU Arithmetic Logic Unit (ALU) เป็นส่วนการคำนวณทางคณิตศาสตร์และหาค่าตรรกะของการเปรียบเทียบ
เมื่อ ALU คำนวณหรือเปรียบเทียบค่าเรียบร้อยแล้ว จะส่งไปเก็บไว้ที่ Register แล้ว Control Unit จะสั่งให้ BIU เก็บค่าผลลัพธ์ลงในหน่วยความจำ โดยแปลงที่อยู่เสมือนที่ Control Unit กำหนด ให้กลายเป็น ที่อยู่จริงของหน่วยความจำที่จะนำผลลัพธ์ไปเก็บไว้
หน่วยความจำ
หน่วยความจำเป็นพื้นที่การทำงานและเป็นพื้นที่การจัดเก็บข้อมูลของคอมพิวเตอร์ เพราะคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานตามลำพังโดยอาศัยเพียงหน่วยประมวลผลหลักได้ หน่วยความจำแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ หน่วยความจำชั่วคราว หรือ หน่วยความจำสำรอง คือ แรม (RAM: Random Access Memory) โดยแรมจะเป็นหน่วยความจำที่ใช้ขณะคอมพิวเตอร์ทำงาน และจะหายไปเมื่อปิดเครื่อง อีกชนิดหนึ่งคือหน่วยความจำถาวร หรือหน่วยความจำหลัก ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk) ที่ใช้ในการเก็บข้อมูล และ รอม (ROM: Read Only Memory) ที่ใช้ในการเก็บค่าไบออส หน่วยความจำถาวรจะใช้ในการเก็บข้อมูลของเครื่องคอมพิวเตอร์และจะไม่สูญหายเมื่อปิดเครื่อง
ตัวอย่างประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์มีประโยชน์กับเรามากมาย เช่น
1. การใช้งานภาครัฐ งานทะเบียนราษฎร์ของรัฐบาล เช่น การแจ้งเกิด ตาย ย้ายที่อยู่ การทำบัตรประจำตัวประชาชน
2. การใช้งานทางด้านธุรกิจทั่วไป งานทำบัญชี รายการซื้อขาย งานเรียบเรียงเอกสาร งานประมวลคำ
3. งานสายการบิน การสำรองที่นั่งผู้โดยสาร การลดงานเอกสาร
4. ทางด้านการศึกษา สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การเรียนออนไลน์ให้กับผู้เรียนที่อยู่ห่างไกล
5. ธุรกิจการนำเข้าสินค้าและส่งออก การทำธุรกิจแบบพานิชอิเล็กทรอนิกส์
6. ธุรกิจธนาคาร ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ การทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์มือถือ
7. วิทยาศาสตร์และการแพทย์ การเก็บข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการรักษาของคนไข้ วิจัย คำนวณ และ การจำลองแบบ

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ข้าวกล้อง อาหารที่น่ากิน




ข้าวกล้องคืออะไร ?

คือข้าวที่สีเอาเปลือก (แกลบ) ออกโดยที่ยังมีจมูกข้าว และเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (รำ) อยู่ ข้าวกล้องจะมีสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวนี้มีคุณค่าอาหารที่มีประโยชน์มาก

สำหรับข้าวขาวที่เรากินๆ กันอยู่นั้น เป็นข้าวที่เกิดจากการขัดสีหลายๆ ครั้ง จนเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวและจมูกข้าวหลุดออกไป จนเหลือแต่เนื้อในของข้าว

ข้าวกล้องบางคนเรียกกันติดปากว่า ข้าวซ้อมมือหรือข้าวแดง เนื่องจากในสมัยโบราณ ชาวบ้านใช้วิธีตำข้าวกินกันเอง จึงเรียกว่า ข้าวซ้อมมือ แต่ปัจจุบันเราใช้เครื่องจักรสีข้าวแทน จึงเรียกข้าวที่สีเอาเปลือกออกนี้ว่า ข้าวกล้อง

ข้าวกล้องมีโปรตีนประมาณ 7-12% (แล้วแต่พันธุ์ข้าว) นักค้นคว้าชื่อ โรสเดล ( Rosedale ) ได้วิเคราะห์ว่า การขัดสีข้าวกล้องจนมีสีขาว จะทำให้โปรตีนสูญหายไปประมาณ 30%

ประโยชน์มากมายของการกินข้าวกล้อง

• ได้วิตามินบีรวม ช่วยป้องกันและบรรเทาอาหารอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมอง ทำให้เจริญอาหาร
• ได้วิตามินบี 1 ซึ่งถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้
• ได้วิตามินบี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก
• ได้ฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน
• ได้แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว
• ได้ทองแดง สร้างเมล็ดโลหิต และเฮโมโกลบิน
• ได้ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
• ได้โปรตีน ช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
• ได้ไขมัน ให้พลังงานแก่ร่างกาย ไขมันในข้าวกล้องเป็นไขมันที่ดี ไม่มีโคเรสเตอรอล
• ได้ไนอะซิน ช่วยระบบผิวหนังและเส้นประสาท และป้องกันโรคเพลลากรา
(โรคที่เกิดจากการขาดไนอะซิน จะมีอาการท้องเสีย ประสาทไหว โรคผิวหนัง)
• ได้คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแก่ร่างกาย
• ได้กากอาหาร ข้าวกล้องมีกากอาหารมาก ซึ่งจะทำให้ท้องไม่ผูก และช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้อีกด้วย
• วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ในข้าวกล้องจะช่วยให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ข้าวกล้องมีอะไรดีกว่าข้าวขาว

ธาตุเหล็ก มีมากเป็น 2 เท่าช่วยป้องกันโลหิตจาง • ข้าวกล้องมีวิตามินบี 1 มากกว่าข้าวขาวประมาณ 4 เท่า ถ้ากินเป็นประจำ จะป้องกันโรคเหน็บชา
• วิตามินบี 2 มีมากจะป้องกันโรคปากนกกระจอก
• วิตามินบีรวม มีมากกว่าจะป้องกัน และบรรเทาอาการอ่อนเพลียและขาไม่มีแรง อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ ลิ้นแตกหรือมีแผล ริมฝีปากเจ็บหรือมีแผล โรคผิวหนังบางชนิด โรคปลายประสาทอักเสบ และโรคเกี่ยวกับระบบประสาทบางชนิด
• วิตามินบีรวม ยังบำรุงสมอง ทำให้เรียนเก่งขึ้นและเจริญอาหาร
• ธาตุเหล็ก มีมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโลหิตจาง
• แคลเซียม มีมากกว่า จะทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว
• ไขมัน มีมากกว่าให้พลังงานแก่ร่างกาย
• กากอาหาร มีมากกว่าจะช่วยป้องกันท้องผูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่
• เกลือแร่และวิตามินต่างๆ ในข้าวกล้อง มีรวมกัน 20 กว่าชนิด มีหน้าที่ทำให้การทำงานของส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
• โปรตีน มีมากกว่าช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
• แป้ง (คาร์โบไฮเดรต) มีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน ส่วนคนที่ผอมจะสมบูรณ์ขึ้น เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น
• ประหยัดเงินทอง เพราะเจ็บป่วยน้อยกว่า ข้าวกล้องจะมีราคาถูกกว่า เพราะต้นทุนในการผลิตต่ำกว่า
• มีผลทำให้สุขภาพจิตและสติปัญญาดีขึ้น เพราะสุขภาพกายดีขึ้น

ปริมาณสารอาหารในข้าวขาวกับข้าวกล้อง

สารอาหาร
ข้าวขาว
ข้าวกล้อง

วิตามิน – บี 1
4 จานกว่า
1 จาน

วิตามิน – บี 2
2 จาน
1 จาน

วิตามิน – บี 6
5 จานกว่า
1 จาน

กากข้าว
2 จานกว่า
1 จาน


ผลเสียของการกินข้าวขาว

โรคและอาการต่างๆ ต่อไปนี้ จะลดลงมากหรือป้องกันได้ ถ้ากิน ข้าวกล้อง เป็นประจำ และกินอาหารเพียงพอและถูกหลัก

• โรคเหน็บชา เพราะขาดวิตามิน-บี 1 ข้าวกล้องมีวิตามิน-บี 1 มากกว่าข้าวขาว 385% (พบมากในประเทศที่กินข้าวขาวเป็นอาหารหลัก)
• โรคปากนกกระจอก เพราะขาดวิตามิน-บี 2 ข้าวกล้องมีวิตามิน-บี 2 มากกว่าข้าวขาว 66% (ตามชนบทมีเด็กเป็นโรคปากนกกระจอก 60%)
• โรคโลหิตจาง เพราะขาดธาตุเหล็ก เนื่องจากข้าวกล้องมีธาตุเหล็กมากกว่าข้าวขาว 2 เท่า (ประชากรไทยเป็นโรคโลหิตจาง 40%)
• โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (พบมากทางภาคเหนือและภาคอีสาน โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี) เกี่ยวเนื่องจากมาจากการขาดธาตุฟอสฟอรัส และอื่นๆ ซึ่งมีในข้าวกล้อง นอกจากนั้น ฟอสฟอรัสยังช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟันอีกด้วย
• โรคท้องผูก เพราะมีกากอาหารน้อย ข้าวกล้องมีกากอาหารมากกว่า 133% (ข้าวกล้องช่วยป้องกันท้องผูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่)
• โรคทางระบบประสาทบางชนิด และโรคปลายประสาทอักเสบ เพราะขาดวิตามินบีรวม ซึ่งมีมากในข้าวกล้อง (วิตามินบีรวม ช่วยบำรุงสมอง ทำให้เรียนเก่งขึ้น และเจริญอาหาร)
• อารมณ์เสียง่ายกว่า หงุดหงิดเพราะชาดวิตามินบีรวม ซึ่งเป็นวิตามินที่เสริมสร้างระบบประสาทของร่างกาย และถ้าระบบประสาทของเราไม่ดี ทำให้เราควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีนัก
• เบื่ออาหาร เพราะขาดวิตามินบีรวม ซึ่งข้าวกล้องมีมากกว่าข้าวขาว
• โรคขาดโปรตีน ข้าวกล้องมีโปรตีน ร้อยละ 7-12 (เด็กไทยประมาณร้อยละ 40-60 เป็นโรคขาดโปรตีนและพลังงาน) ข้าวกล้องมีโปรตีนมากกว่าข้าวขาว 20-30%
• โรคผิวหนังบางชนิด ขาดวิตามินบีบางตัว
• อ่อนเพลีย รู้สึกเหนื่อยกว่าปกติ ปวดเมื่อยตามตัวและขา เพราะขาดวิตามินบีรวม
• โรคชัก เนื่องจากขาดวิตามิน บี 6 ซึ่งมีมากในข้าวกล้อง
• ข้าวขาวมีแป้ง (คาร์โบไฮเดรต) พอๆ กับข้าวกล้อง แต่มีเกลือแร่และวิตามินต่างๆ น้อยกว่าข้าวกล้อง (ในข้าวกล้องจะมีวิตามินรวมกัน 20 กว่าชนิด) ที่ทำให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างร่างกายให้สมบูรณ์

จะเห็นได้ว่า ผลเสียของการกินข้าวขาวมีมาก เพราะการขัดสีส่วนที่มีคุณค่าต่อร่างกายออกไป หลายท่านอาจจะกินข้าวขาว เพราะไม่รู้ว่ายังมีข้าวที่มีคุณค่ามากอย่างข้าวกล้องอยู่ จนบางคนไม่เคยรู้จักข้าวกล้องด้วยซ้ำ

คนสมัยโบราณแต่ละบ้านจะตำข้าวกินเอง ซึ่งเรียกว่า ข้าวซ้อมมือ ซึ่งก็คือ ข้าวกล้อง คนสมัยก่อนจึงมีร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นโรคอย่างที่คนสมัยนี้เป็นกันเท่าไร เช่น โรคเบาหวาน, หัวใจวาย, มะเร็ง ฯลฯ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ก็เพราะการกินไม่เป็น

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

ความรู้เรื่องโปรตีน

ความรู้เรื่องโปรตีน
สำหรับนักเพาะกายแล้ว การได้รับสารอาหารครบถ้วนเป็นเรื่องที่สำคัญ และในบรรดาสารอาหารที่นักเพาะกายจำเป็นต้องได้รับนั้น โปรตีนมีความสำคัญอยู่ในอันดับแรก ฉะนั้น ในวันนี้เราจึงควรมาศึกษาเรื่องโปรตีนให้เข้าใจกันดีกว่า โดยอาศัยแหล่งอ้างอิงในหนังสือ และวารสารการแพทย์เพื่อให้ความรู้ เกี่ยวกับอาหารเสริมอะมิโนแอซิดครับ - webmaster

โปรตีนเป็นอาหารหมู่สำคัญ กรดอะมิโนก็เป็นหน่วยย่อยของโปรตีน การได้กรดอะมิโนที่เหมาะสมครบถ้วน มีความสำคัญต่อสุขภาพ มากกว่าการได้รับโปรตีนปริมาณมากๆเสียอีก หากเราขาดกรดอะมิโนตัวใดตัวหนึ่ง ก็เหมือนกับว่า เราขาดส่วนผสมในการทำปูนซีเมนต์ให้แข็งตัว หรือหากแข็งตัวได้ ก็จะกลายเป็นปูนที่ไม่แข็งแรง ผมยกตัวอย่างเช่น ในข้าวโพดจะขาดกรดอะมิโนตัวหนึ่งคือทริปโตแฟน หากเราขาดตัวนี้ ก็จะส่งผลต่อการทำงานของสมอง ดังนั้นเราจะต้องทานอาหารชนิดอื่นที่มีอะมิโนตัวนี้เข้าไป สมองก็จะได้ทริปโตแฟนไปใช้นั่นเอง

ประโยชน์ของโปรตีนคือ คลายเครียด ลดความดันเลือดสูง รักษาอาการเสื่อมก่อนวัย รักษาโรคจากเชื้อไวรัส เช่น เริม กระทั่งแก้อาการนอนไม่หลับ สำหรับผิวพรรณนั้น กรดอะมิโนจะช่วยทำให้ผิวพรรณดี เต่งตึงขึ้น นอกจากนี้ อะมิโนยังช่วยนการย่อย และทำให้ภูมิต้านทานโรคดีขึ้นด้วย

ความรู้เกี่ยวกับโปรตีน
เริ่มจากการที่นักวิทยาศาสตร์ชาวดัตซ์ชื่อ เกอร์ริท จัน มุลเดอร์ ค้นพบว่าในพืชและสัตว์มีสารสำคัญมากสำหรับการดำรงชีวิต จึงตั้งชื่อให้ว่า "โปรตีน" ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษากรีก แปลว่า "สำคัญที่หนึ่ง"

โปรตีนเป็นส่วนประกอบของร่างกาย ที่มีมากเป็นอันดับสองรองจากน้ำ หากเอาร่างกายมนุษย์ไปตากแห้ง จนน้ำระเหยไปหมด สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือ โปรตีนนั่นเอง สำหรับในร่างกายนั้น กล้ามเนื้อจะมีโปรตีนมากเป็น 1 ใน 3 ของโปรตีนทั้งหมด ในกระดูกมีโปรตีนมากเป็น 1 ใน 5 ส่วนผิวหนังมีโปรตีนเป็น 1 ใน 10 ของทั้งหมด

โปรตีนในพืชและสัตว์จะแตกต่างกันตรงที่ พืชสามารถสร้างโปรตีนได้เอง โดยเอาไนไตรเจนจากดิน รวมเข้ากับคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ แล้วสร้างเป็นโปรตีน แต่สำหรับสัตว์นั้น หากต้องการโปรตีน มีทางเดียวก็คือต้องกินสัตว์ด้วยกัน หรือไม่ก็กินพืชเอา

ในคนที่ไม่มีความเครียด หรือไม่ได้ออกกำลังกายอย่างหนัก ควรจะได้รับโปรตีนอย่างน้อยวันละ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก. เช่นถ้าคุณหนัก 60 กก. ก็ควรรับโปรตีนเข้าไป 60 กรัม โดยคิดคร่าวๆเอาว่า เนื้อสัตว์ 1 ขีด (100 กรัม) จะให้โปรตีน 20 กรัม ก็คือควรทานวันละ 3 ขีดเป็นอย่างน้อย และแน่นอนว่า ถ้าคุณออกกำลังกาย หรือว่าเครียดกับการทำงาน คุณก็ต้องทานโปรตีนให้มากกว่านี้อีก

ความรู้เกี่ยวกับอะมิโน
โปรตีนมีหน่วยย่อยคือกรดอะมิโน กรดอะมิโนมีทั้งหมด 20 ชนิด เรียงร้อยกันขึ้นเป็นสายโปรตีน มีอยู่สองรูปแบบคือ แบบแอล และแบบดี (L form และแบบ D form) ทั้งสองแบบนี้มีลักษณะกลับกัน เพียงแต่อาศัยการหมุนซ้ายหรือขวาของการเรียงตัวมากำหนด สำหรับกรดอะมิโนในสัตว์และกรดอะมิโนในคน จะมีตัวกรดที่เหมือนกัน แต่การเรียงตัวของกรดเหล่านั้น จะไม่เหมือนกัน

กรดอะมิโนคือหน่วยเล็กที่สุดของโปรตีน กรดอะมิโนประกอบด้วยอะตอมของไนโตรเจน อย่างน้อย 1 อะตอม เราอาจคิดว่ากรดอะมิโนเป็นกรด และมีรสเปรี้ยวแบบมะนาว แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เพราะมันมีสภาพค่อนข้างเป็นกลาง จะมีความเป็นกรดน้อยๆในแง่ของชีวเคมีเท่านั้น เมื่อเรากินโปรตีนเข้าไป น้ำย่อยจะทำการย่อยก้อนโปรตีน ออกเป็นกลุ่มของอะมิโนหลายๆกลุ่ม ต่อจากนั้นร่างกายจึงเริ่มดูดซึมอะมิโนแต่ละตัวเข้าไปใช้

ร่างกายของเราไม่สามารถเก็บกรดอะมิโนไว้ใช้แบบที่มันเก็บน้ำตาลไว้เป็นพลังงาน ดังนั้น กรดอะมิโนที่เกินมา ก็จะถูกสลายทิ้ง โดยเอาส่วนที่เป็นไนโตรเจน ออกไปกับปัสสาวะ ในรูปของยูเรีย ส่วนที่เป็นคาร์บอนไฮโดรเจนและออกซิเจน จะถูกร่างกายเปลี่ยนให้เป็นพลังงาน สำหรับประโยชน์หลักๆของอะมิโนก็ได้แก่

1.กรดอะมิโนเป็นวัตถุดิบ ซึ่งเป็นหน่วยย่อยในการสร้างเซลล์ และเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย ทำหน้าที่สองอย่างคือ สร้างโปรตีนใหม่ในร่างกายส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งใช้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

2.ยิ่งมีกรดอะมิโนมาก ก็เพิ่มความสามารถในการสร้างเอนไซม์เพื่อใช้ในการย่อยอาหารมาก และยังเพิ่มความสามารถในการเจริญพันธ์ของมนุษย์ด้วย

3.กรดอะมิโนจำเป็นสำหรับการไหลเวียนของเลือด

4.กรดอะมิโนให้พลังงานแก่ร่างกาย โดยโปรตีน 1 กรัมจะให้พลังงาน 4 แครอลี

โปรตีน (หรือก็คือกรดอะมิโนนั่นเอง) ในร่างกายของเรา มีลักษณะเคลื่อนไหวตลอดเวลา คือมีทั้งการสร้าง และการทำลายในเวลาเดียวกัน ส่วนที่ว่าจะสร้างเร็วกว่าทำลายนั้น ก็ขึ้นอยู่กับอายุ สภาพร่างกาย ความเจ็บป่วย เช่นคนอายุมากขึ้น ก็จะมีการสลายโปรตีนมากกว่าการสร้าง

เราสามารถแบ่งโปรตีนออกเป็นสามประเภท โดยตัวแยกประเภทก็คือดูว่า มันมี กรดอะมิโนจำเป็น (ได้แก่ ไลซีน ,วาลีน , ไอโซลิวซีน ,ลิวซีน ,ทรีโอนีน ,ทริปโตแฟน ,เมทีโอนีน ,ฟีนายอะลานีน และฮีสติดีน) อยู่ครบถ้วนหรือไม่ โดยแบ่งได้ดังนี้

1.โปรตีนสมบูรณ์ หมายความว่า ประกอบด้วย กรดอะมิโนจำเป็น ครบทุกชนิด อันได้แก่ โปรตีนจากเนื้อสัตว์ รวมทั้งไก่และปลา ไข่ นม ซึ่งนักเพาะกายควรทาน แต่ต้องจำไว้ด้วยว่า อาหารพวกนี้ นอกจากให้โปรตีนแล้ว ก็ยังมีไขมัน และคอเลสเตอรอลสูงด้วย การใช้อาหารเสริมก็เป็นทางหลีกเลี่ยงที่ดีอันหนึ่ง

2.โปรตีนเกือบสมบูรณ์ หมายความว่า มีอะมิโนจำเป็น เกือบจะครบ ขาดเพียงหนึ่งถึงสองตัวเท่านั้น จะอยู่ในพืชบางอย่างเช่น ถั่วฝัก หรือถั่วที่มีเมล็ดทั้งหลาย โปรตีนชนิดนี้ ใช้ได้กับคนที่โตแล้ว เพราะถึงจะได้กรดอะมิโนไม่ค่อยครบ แต่ก็ไม่มีผลต่อสุขภาพเท่าไร แต่ห้ามให้กับเด็กอย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้เด็กไม่โตเท่าที่ควร

3.โปรตีนไม่สมบูรณ์ หมายความว่า ไม่มีกรดอะมิโนจำเป็นเลย

ของฝากเล็กน้อยเกี่ยวกับกรดอะมิโน
สำหรับผู้ที่ลดความอ้วน โดยการทานอาหารแต่น้อย หากทำเกิน 2 อาทิตย์แล้วละก็ ร่างกายคุณจะเริ่มสลายกล้ามเนื้อ ออกมาเผาผลาญเป็นพลังงานสำรอง ดังนั้นหากคุณอดอาหารเพื่อรูปร่างที่ผอมลง ควรควรพึ่งพาอาหารเสริมโปรตีนด้วย เพราะเคยมีรายงานว่า คนอ้วนที่พยายามลดน้ำหนัก ตายระหว่างอดอาหารเป็นจำนวนมาก สาเหตุการตายเนื่องจากหัวใจวาย เพราะพลังงานที่ได้รับ มีน้อยเกินไป และร่างกายก็ขาดเกลือแร่จำเป็น เช่นโปแตสเซียม แมกเนเซียม และฟอสเฟต และที่สำคัญคืออะมิโนแอซิด

โปรตีนประกอบด้วยไนโตรเจน 16 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของกรดอะมิโน เมื่อร่างกายเราใช้โปรตีน หรือไม่ได้ใช้ก็ตาม โปรตีนก็จะถูกย่อย เป็นสารไนโตรเจนออกมากับเหงื่อบ้าง ออกมาเป็นผิวหนัง ,เล็บ และผม รวมทั้งถูกขจัดออกทางปัสสาวะในรูปของยูเรีย เราจึงถือว่าไนโตรเจน เป็นธาตุที่ใช้บอกสภาวะสมดุล ของโปรตีนในร่างกายด้วย ดังนั้นถ้าเกิดความเครียด ไม่ว่าจากอากาศร้อนเกินไป หนาวเกินไป เหงื่อออกมากไป ก็แสดงว่าเราขาดสภาวะสมดุลของไนโตรเจน ร่างกายเราจึงต้องการกรดอะมิโนเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ

หากร่างกายเราได้รับบาดเจ็บรุนแรง หรือเกิดอาการอักเสบอย่างร้ายแรง ร่างกายจะเสียไนโตรเจน ซึ่งเมื่อเทียบออกมาเป็นโปรตีนแล้ว จะเท่ากับว่าเราเสียโปรตีนไปถึงวันละ 0.9 กรัมต่อวัน ดังนั้นถ้าไม่ได้โปรตีนทดแทนให้เพียงพอ ก็อาจมีปัญหาได้

ไข่ ให้โปรตีนมากที่สุด และย่อยง่ายที่สุดในอาหารธรรมชาติด้วยกัน คือให้โปรตีนถึง 94 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาก็คือปลา ซึ่งให้โปรตีน 80 เปอร์เซนต์ ส่วนสัตว์ประเภทหมู และไก่ ให้ 67 เปอร์เซ็นต์

เราควรจะมีกรดอะมิโนพร้อมอยู่ในกระแสเลือด เพื่อให้ร่างกายฉกฉวยเอาไปใช้ได้ทันทีที่ต้องการ และโดยเฉพาะถ้าเป็นนักเพาะกายด้วยแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

เครื่องพิมพ์ดีดไทย


อดีต
เครื่องพิมพ์ดีดเครื่องแรกเป็นแบบภาษาอังกฤษสร้างโดยวิศวกรชื่อเฮนรี่ มิล ณ ประเทศอังกฤษ จดทะเบียนสิทธิบัตรเมื่อ พ.ศ. 2237 ในตอนแรกนั้นแป้นพิมพ์มีถึง 7 แถว 84 ปุ่ม ซึ่งแป้นพิมพ์นี้ถูกเรียกในปัจจุบันว่าแบบ 2 ชั้น เนื่องจากมีแถวและปุ่มมากเป็น 2 เท่าของแป้นพิมพ์รุ่นปัจจุบันที่แต่ละปุ่มจะมี 2 ตัวอักษร ต่อมาได้มีการสร้างปุ่ม Shift และรวมอักษร 2 ตัวให้อยู่ในปุ่มเดียว จึงทำให้แป้นพิมพ์แบบ 2 ชั้นไม่ได้รับความนิยมอีกต่อไป

ปัจจุบัน
ต่อมาได้มีการคิดค้นเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าในเวลาต่อมาโดยแป้นพิมพ์จะคล้ายแป้นคีย์บอร์ด มี Shift,Shift Lock,Alt มีตัวอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ ตัวพิมพ์เล็ก (ใช้ปุ่มShift,Shift Lockในภาษาอังกฤษ) มีอักษรสองแถว มีปุ่มลบ (CORRECT) ในกรณีที่พิมพ์ผิดโดยจะใช้หลักการ ใช้เทปติดหมึกออกมาจากกระดาษ

ในประเทศไทย
นายเอดวิน แมคฟาร์แลนด์ เลขานุการส่วนพระองค์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดัดแปลงเครื่องพิมพ์ดีดภาษาอังกฤษเป็นเครื่องพิมพ์ดีดภาษาไทย แต่เนื่องจากภาษาไทยมีสระและวรรณยุกต์มาก จึงต้องใช้เครื่องพิมพ์ดีดที่มีแป้นมากกว่าชนิดอื่น คือยี่ห้อ สมิทพรีเมียร์ เมื่อ พ.ศ. 2438ต่อมา หมอยอร์ช บี แมคฟาร์แลนด์ (พระอาจวิทยาคม) ได้ปรึกษาและทำการค้นคว้ากับพนักงานบริษัท 2 คนคือ นายสวัสดิ์ มากประยูร และนายสุวรรณประเสริฐ เกษมณี (กิมเฮง) ใช้เวลา 7 ปีก็วางแป้นอักษรใหม่สำเร็จ ใน พ.ศ. 2474 สามารถพิมพ์ได้ถนัดที่สุดและรวดเร็วที่สุด ให้ชื่อว่าแบบ "เกษมณี" และใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้ ต่อมามีการศึกษาพบว่า เครื่องพิมพ์ดีดแบบเกษมณียังมีข้อบกพร่อง และได้มีการคิดวางแป้นอักษรใหม่ ใช้ชื่อว่า "ปัตตะโชติ" ซึ่งสภาวิจัยแห่งชาติตรวจสอบแล้วว่าสามารถพิมพ์ได้เร็วกว่าแบบเดิมประมาณ 25.8%

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

TKD History


TKD History

Over 1350 years ago, Korea was divided into three kingdoms: Silla, Koguryo, and Baek Je. Silla, the smallest of these kingdoms was constantly under invasion and harrasement by its two more powerful northern and western neighbors. To offset these invasions, King Chin Hung, in his 37th year of reign, called up the strong, patriotic youths to form a new elite officer corps called the Hwa Rang-Do. This corps, under General Kim Yu-Sin, trained not only in the traditional methods of spear, bow, sword, and hook, but also practiced mental and physical disipline and various forms of hand and foot fighting. To harden thier bodies, they climbed rugged mountains, swam turbulent rivers in the coldest months, and drove them selves unmercifully to prepare for the task of defending their homeland.

To guide themselves and give purpose to their knighthood, they incorporated a five point code of conduct, which stated:



Be loyal to your King.
Be obedient to your parents.
Be honorable to your friends.
Never retreat in battle.
Make a just kill.
These young warriors became known and respected across the land for their courage and skill in battle, attaining feats of valor, which led Silla to rise and unite. From their victories, the Korean penisula soon was united for the first time in history.

Soo Bak was the original primitive art of hand fighting practiced during the period of the Hwa Rang-Do, while postures resembling Teak Kyon and Jujitsu were also practiced. After these warriors molded it into a combative art, and instilled the moral principles of the Hwa Rang-Do, it became known as Soo Bak Gi. Much historical documentation indicated that some of these forms of fighting may have eventually been exported to Japan, and form the basis for Japanese karate. During the Yi Dynasty the arts of valor were humiliated and the literary arts were encouraged. Then during the Japanese occupation (1909-1945) it was forbidden to practice any form of martial arts, although Teak Kyon was secretly practiced by some dedicated students.

After the liberation, a young Second Lieutenant named Choi Hong Hi began teaching his martial arts to his soldiers. At this time there was a quest to find the "real" name for this art. In 1955 a board of Masters, Historians, and Promeinent Leaders was formed.

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

มีขนมปังแล้วก็ต้องหม้ำกับแยมสินะ



แยม เป็นของหวานประเภทหนึ่ง รับประทานโดยการทาลงบนขนมปังเพื่อเพิ่มรสชาติให้ขนมปังอร่อยมากขึ้น แยมมักจะทำมาจากผลไม้ แต่ก็ไม่จริงเสมอไป
วิธีการผลิต
แยมเป็นอาหารหวานประเภทหนึ่งใช้ทานกับขนมปัง มีลักษณะคล้ายเยลลี่แต่ไม่จับตัวเป็นก้อน โดยมีวิธีการผลิตคือการนำของที่จะทำเป็นแยมมาต้มกับน้ำและน้ำตาล ด้วยอุณหภูมิราว 104°C เพื่อให้สารเคมีในตัวของผลไม้ทำปฏิกิริยากับน้ำตาล แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นก็จะได้แยมตามที่ต้องการ
ประเภทของแยม
แยมแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
• แยมหวาน แยมชนิดนี้จะมีรสหวาน ตั้งแต่หวานมากจนกระทั่งหวานน้อย แต่แยมในชนิดนี้จะไม่นิยมทาขนมปังมากๆ เพราะมันจะหวานเลี่ยน
o แยมผลไม้ เป็นแยมที่ได้มาจากการต้มผลไม้ชนิดต่างๆกับน้ำตาล
o แยมสตอเบอร์รี่ - เป็นแยมที่ทำจากสตอเบอร์รี่ แยมชนิดนี้จะมีสีแดง
o แยมสัปปะรด - เป็นแยมที่ทำมาจากสับปะรด เป็นแยมที่มีสีเหลือง
o แยมส้ม - แยมส้ม มีสีส้ม
o แยมองุ่น - เป็นแยมที่ผสมกับองุ่น
o แยมรสผลไม้รวม - เป็นแยมที่ได้มาจากการผสมผลไม้ทุกชนิดเข้าด้วยกัน
o แยมสารสังเคราะห์ - แยมชนิดนี้ทำมาจากสารสังเคราะห์แต่ยังไม่แพร่หลายมากนัก
• แยมที่ไม่หวาน เป็นแยมที่ไม่มีรสหวาน
o แยมธัญพืช - เป็นแยมที่ทำมาจากธัญพืชหรือเม็ดพืชต่างๆ

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ขนมปังน่ากิ้นน่ากิน





ขนมปัง เป็นอาหารที่ทำจากแป้งสาลีที่ผสมกับน้ำและยีส หรือ ผงฟู นอกจากนี้ยังมีการใช้ส่วนผสมอื่นๆเพื่อแต่งสี รสชาติและกลิ่น แตกต่างกันไปตามแต่ละประเภทของขนมปัง และ แต่ละประเทศที่ทำ โดยนำส่วนผสมมาตีให้เข้ากันและนำไปอบ ขนมปังมีหลายประเภท เช่น ขนมปังฝรั่งเศส ขนมปังแซนด์วิช ขนมปังหวาน ขนมปังไรน์ หรือแม้กระทั่ง เพลสเซล(Pretzel) ของขึ้นชื่อประเทศเยอรมันนี เป็นต้น
ขนมปังนั้นสามารถทานได้เลย แต่โดยปกติจะทานกับเนย เนยถั่ว แยม เยลลี่ แยมส้ม น้ำผึ้ง หรือทำเป็นแซนวิช ขนมปังนั้นสามารถนำไปอบหรือปิ้งได้ และจะเสิร์ฟร้อนหรือเย็นก็ได้
ส่วนผสมที่สำคัญ
ส่วนผสมที่สำคัญของขนมปังมีดังนี้
ข้าวสาลี
ขนมปังเกิดจากโปรตีนของแป้งสาลีที่มีชื่อว่า กลูเตน โปรตีนชนิดนี้มีอยู่สูงในข้าวสาลี ในขณะที่ข้าวจ้าวที่คนไทยรับประทานในทุกวันมีกลูเตนอยู่น้อยมาก นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไม ข้าวเจ้าจึงไม่สามารถนำมาทำขนมปังได้
ยีสต์
ยีสต์จะถูกเติมลงไปในขนมปังเพื่อให้ขนมปังพองฟู เพราะยีสต์จะกินน้ำตาลที่อยู่ในแป้งและผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ทำให้ขนมปังมีรูปร่างเป็นก้อน ยีสต์ที่ใช้ในการทำขนมปังมีหลายรูปแบบ ทั้งแบบสด และ แบบผงเป็นต้น การใช้ยีสต์ที่ถูกต้องจะต้องทำการปลุกยีสต์เสียก่อน โดยการละลายน้ำในอุณหภูมิประมาณ 38 องซาเซลเซียส การใช้ยีสต์จึงทำได้ยากกว่า แต่ให้ผลดีที่จะให้เนื้อขนมปังและรสชาติดีกว่าการใช้ผงฟู ยีสต์ที่ใช้โดยทั่วไป คือ Saccharomyces cerevisiae

ผงฟู
ผงพูคือ โซเดียมไบคาร์บอร์เนต ถูกใช้ในการทำขนมปังเพื่อแทนการใช้ยีสต์ เพราะเมื่อผงฟูผสมกับน้ำก็จะเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เช่นเดียวกับที่ยีสต์ทำ แต่จะมีผลข้างเคียงคือ หากใส่มากเกิดไปจะทำให้มีรสชาติเฝื่อนขม และ การฟูของขนมปังก็จะหยาบกว่าการใช้ยีสต์ แต่ข้อดีคือ ใช้ได้ง่ายกว่า และก็เก็บรักษาได้นานกว่ากัน ผงฟูมีด้วยกันสองสูตรคือ สูตรหนึ่ง คือ ผงฟูที่จะปล่อยก๊าซออกมาครั้งเดียวทั้งหมดตอนที่เราผสมเข้ากับเนื้อขนมปัง สูตรสอง คือ ผงฟูที่จะปล่อยก๊าซออกมาสองครั้ง คือ ตอนที่ผสมกับเนื้อขนมปัง และ อีกครั้งตอนที่โดนความร้อนในเตาอบ
ขนมปังนั้นควรที่จะเก็บไว้ในกล่องเก็บขนมปังเพื่อรักษาความสดใหม่. จริง ๆ แล้ว ขนมปังนั้นสามารถขึ้นราได้ง่ายในอุณหภูมิเย็น
ข้อสังเกต ขนมปังที่ทาเนย,แยม หรือสิ่งทาหน้าใดๆ แล้วทำหล่นลงสู่พื้นขนมปังจะใช้หน้าที่ได้ทาสิ่งทาหน้าแล้วลงสู่พื้นเสมอ

วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552

มาหม้ำบลูเบอร์รี่กันนะ




ใครที่ชอบรับประทานบลูเบอร์รี่ผลไม้สีม่วงเข้มเตรียมเฮบ้าง ส่วนคนที่ขายน่าจะทำให้ขายได้ดีขึ้น เนื่องจากมีการศึกษาล่าสุดเมื่อไม่นานนี้เองพบสารอาหารที่พบในผลบลูเบอร์รี่มีฤทธิ์สามารถลดระดับ คลอเลสเตอรอล ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นักวิจัยด้านเคมี Agnes Rimandoจากสถาบัน U.S. Department of Agriculture กล่าวว่าสารอาหารที่ว่านี้มีชื่อว่า pterostilbene ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้าน อนุมูลอิสระ ชนิดหนึ่งทำให้มีผลในการลด คลอเลสเตอรอล ในร่างกายและเชื่อว่าน่าจะนำมาพัฒนาเป็นยาเพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่อง คลอเลสเตอรอล สูง อย่างไรก็ตามการค้นพบนี้ยังเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นเนื่องจากเป็นเพียงกการทดลองในหนูและจะต้องมีการพัฒนาเพื่อนำมาทดลองในมนุษย์ต่อไป ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าขนาดหวังผลการลดระดับ คลอเลสเตอรอล ดังกล่าวในมนุษย์นั้นจะต้องรับประทานบลูเบอร์รี่จำนวนเท่าใด

จากข้อมูลการวิจัยพบว่าบลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีการระบุว่าเป็นผลไม้เพื่อ สุขภาพ เป็นผลไม้ที่มีการพบปริมาณของสารต้าน อนุมูลอิสระ ในปริมาณสูงที่ช่วยต้านการทำลายเซลของร่างกายและสารอีกหลายชนิดที่มีฤทธิ์ในการต้าน มะเร็ง และจากผลวิจัยล่าสุดนี้เองที่พบว่าสารที่มีมากในบลูเบอร์รี่คือเพคตินที่ทำหน้าช่วยลดระดับ คลอเลสเตอรอล ในร่างกาย และยังมีการวิจัยอื่นๆ อีกที่สนับสนุนว่าบลูเบอร์รี่ช่วยเพิ่มความสามารถในการจำอีกด้วย

นักวิจัยยังกล่าวอีกว่าสาร pterostilbene ในบลูเบอร์รี่ที่ว่านี้มีคุณสมบัติคล้ายๆ กับ resveratrol ที่พบในองุ่นและไวน์แดง ซึ่งก็มีฤทธิ์ลดระดับ คลอเลสเตอรอล เช่นกัน อีกทั้งมีนักวิจัยหลายท่านพบสาร pterostilbene นี้ในองุ่นด้วยแต่นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการพบในบลูเบอร์รี่

ในการศึกษานี้ได้ทำในมหาวิทยาลัยเภสัชศาสตร์มิสสิซิปปี้ (The University of Mississippi School of Pharmacy) โดยทดลองในเซลตับของหนูด้วยสารที่สกัดจากผลบลูเบอร์รี่ 4 ชนิดพบว่า pterostilbene จะให้ผลแรงที่สุดในการลดระดับ คลอเลสเตอรอล และระดับไขมันในเลือด ทั้งนี้ผลของมันมีฤทธิ์พอๆ กับ ciprofibrate ซึ่งเป็นยารักษาในผู้ป่วยที่มีปัญหา คอลเลสเตอรอล และไขมันในเลือดสูง และมีฤทธิ์แรงกว่า resveratrol แต่ยา ciprofibrate ซึ่งเป็นยารักษาในปัจจุบันจะมีปัญหาอาการข้างเคียง เช่น ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่าสารจากบลูเบอร์รี่นี้จะมีประสิทธิภาพสูงแต่อาการข้างเคียงน้อยกว่า มันจึงน่าสนใจมากกว่านั่นเอง

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

กระเจี๊ยบ


กระเจี๊ยบ

ชื่อวิทยาศาสตร์: Hibiscus sabdariffa L.
ชื่อสามัญ: กระเจี๊ยบแดง (อังกฤษ: Roselle)
ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ: ภาคเหนือเรียก ผักเก็งเค็ง ส้มเก็งเค็ง เงี้ยว แม่ฮ่องสอนเรียก ส้มปู จังหวัดตากเรียก ส้มตะแลงเครง ภาคกลางเรียก กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบเปรี้ยว ทั่วไปเรียก กระเจี๊ยบแดง
ลักษณะ: กระเจี๊ยบแดง เป็นพืชสมุนไพรที่เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 3–6 ศอก ลำต้นและกิ่งก้านมีสีม่วงแดง ใบมีหลายแบบด้วยกัน ขอบใบเรียบ บางทีก็มีรอยหยักเว้า 3 หยัก สีของดอกเป็นสีชมพู ตรงกลางดอกมีสีเข้มมากกว่าขอบนอกของกลีบ กลีบดอกร่วงโรยไป กลีบรองดอกและกลีบเลี้ยงก็จะเจริญเติบโตขึ้นอีกเกิดเป็นสีม่วงแดงเข้มหุ้มเมล็ดเอาไว้ภายใน
การขยายพันธุ์: ใช้เมล็ดปลูก ควรปลูกในหน้าฝน พรวนดินก่อนปลูก ขุดหลุมปลูกหลุมละ 2-3 เมล็ด ระยะห่างของหลุมประมาณ ½-1 เมตร พอต้นอ่อนงอกออกมาแล้ว ให้ถอนต้นที่อ่อนแอกว่าออกไปเอาต้นที่แข็งแรงไว้ รดน้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดิน กำจัดวัชพืชออกให้หมด

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เรือแคนู

เรือแคนูมีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์หลายพันปี โดยชาวอินเดียนแดง ซึ่งเรือแคนูถูกสร้างขึ้นเพื่อการเดินทาง การค้าขาย การสงคราม และเพื่อการล่าสัตว์ รูปลักษณ์มีความต่างกันตามสภาพแวดล้อมถิ่นที่อยู่อาศัย เช่นเรือแคนูของชาวเมารีในประเทศนิวซีแลนด์มีความยาว 35 เมตร ใช้ฝีพายถึง 80 คน ชาวอินเดียนแดงในทวีปอเมริกาเหนือสร้างเรือแคนูจากหนังกวาง และเปลือกไม้เอิร์ซ (Birch bark) ส่วนชาวอียิปต์ทำมาจากเปลือกไม้พาพัยรัส (Papyrus reeds) ส่วนชาวโพลีนีเซียนใช้ท่อนซุงทำเรือแคนู ชาวเอสกิโมในประเทศกรีนแลนด์ได้สร้างเรือขึ้นมาชนิดหนึ่งโดยเรียกว่า คยัค มีลักษณะคล้ายเรือแคนูแต่มีฝาปิดเรือคยัคนี้ถูกค้นพบโดยนักสำรวจชาวอังกฤษที่ชื่อ Burrough ในปี ค.ศ.1556
ในเวลาต่อมาเรือแคนูเริ่มเป็นที่นิยมกันมากสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบการผจญภัยกลางน้ำอันเชี่ยวกราดจึงได้มีการจัดตั้งเป็นสหพันธ์เรือแคนูนานาชาติ (International Canoe Federtion –I.C.F) ขึ้นในปี ค.ศ.1700 ได้มีการผลักดันกีฬาเรือแคนูให้เป็นกีฬาสาธิตในโอลิมปิกเกมส์เมื่อปี ค.ศ.1928 และอีก 12 ปีต่อมากีฬาเรือแคนูก็ได้บรรจุลงในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกอย่างถาวร ในการกีฬาจะใช้คำว่าเรือแคนูซึ่งหมายถึงทั้งเรือแคนูและคยัครวมกัน เอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 13 ที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าในการจัดการแข่งขัน กีฬาเรือแคนูก็เป็น 1 ประเภทของกีฬาที่จัดให้มีการแข่งขันนั้นด้วย

กฎการแข่งขัน (RACING REGULATIONS)
การให้ออกจากการแข่งขัน (Disqualifications)
- ผู้แข่งขันใดที่พยายามเอาชนะในการแข่งขันทุกวิธีอย่างไร้เกียรติ หรือฝ่าฝืนกฎการแข่งขัน หรือไม่คำนึงถึงธรรมชาติศักดิ์ศรีของกฎการแข่งขัน จะถูกให้ออกจากการแข่งขันในเที่ยวการแข่งขันที่เกี่ยวข้องนั้น
- ผู้แข่งขันเรือคยัคหรือเรือแคนูที่ได้แข่งขันจบเที่ยวไปแล้ว ซึ่งได้ปรากฎภายหลับจากการตรวจสอบว่าไม่เป็นไปตามการแบ่งประเภทของ ICF จะถูกให้ออกจากการแข่งขันในเที่ยวการแข่งขันนั้น
- ระหว่างการแข่งขัน ห้ามรับการช่วยเหลือจากภายนอก หรือมีเรือลำอื่นแล่นติดตามข้างสนามแข่งขันไปด้วย ถึงแม้จะอยู่ข้างนอกลู่แข่งขัน หรือขว้างสิ่งของเข้ามาในสนามแข่งขัน การกระทำทั้งหมดเช่นนั้น จะเป็นสาเหตุให้ผู้แข่งขันที่เกี่ยวข้องถูกให้ออกจากการแข่งขันได้การให้ออกจากการแข่งขันทั้งหมดโดยคณะกรรมการตัดสิน จะต้องกระทำเป็นหนังสือยืนยันทันทีพร้อมกับเหตุผล หัวหน้าทีมจะได้รับทราบจากสำเนาตามกำหนดเวลาซึ่งจะเป็นเวลาที่จะเริ่มยื่นการประท้วง
วิธีการขับเคลื่อนเรือ (Means of Propulsion)
- เรือคยัคจะขับเคลื่อนได้ด้วยการใช้พายชนิดสองใบ (Double-bladed paddles) อย่างเดียว
- เรือแคนูแบบแคนาเดียนจะขับเคลื่อนได้ด้วยการใช้พายชนิดใบเดียว (Single-bladed paddles) อย่างเดียว
- ห้ามยึดตรึงพายติดกับตัวเรือด้วยวิธีใด ๆ
- ถ้าเกิดหัก ผู้แข่งขันจะรับพายใหม่จากผู้สนับสนุนไม่ได้
ระบบการจัดแข่งขันรอบคัดเลือกและรอบชิงชนะเลิศ (Heats and Finals)
- จะต้องมีจำนวนเรือคยัคหรือเรือแคนูอย่างน้อยสามลำ จึงจะจัดการแข่งขันได้ ถ้ามีจำนวนเรือเข้าแข่งขันตั้งแต่ระยะ 1,000 ม. ลงมามาเกินไป จะต้องจัดให้มีรอบคัดเลือก (Heats) จำนวนเรือคยัคหรือเรือแคนูในแต่ละรอบคัดเลือกและรอบชิงชนะเลิศจะต้องไม่เกิน เก้า(9) ลำ
- การจัดแบ่ง (Division) เรือในแต่ละรอบคัดเลือก จะต้องกระทำด้วยการจับฉลาก
- เรือคยัคหรือเรือแคนูที่มีจำนวน แปด หรือเก้า ลำ ให้จัดแข่งขันเป็นรอบชิงชนะเลิศได้เลย ถ้าหากมีจำนวนเรือมากกว่านี้ ให้จัดแบ่งเรือเข้าแข่งขัน ดังนี้
3 ถึง 9 ลำ จัดเป็นรอบชิงชนะเลิศ
10 ถึง 14 ลำ จัดแข่งขันสองรอบแรก (Heats) ที่ 1-3 ของแต่ละรอบแรกไปรอแข่งขันรอบชิงชนะเลิศที่เหลือไปแข่งขันรอบรองชนะเลิศ (Semi-final) หนึ่งรอบ ที่ 1-3 ของรอบรองชนะเลิศไปแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ
15 ถึง 27 ลำ จัดแข่งขันสามรอบแรกที่ 1-2 ของแต่ละรอบแรก ไปรอแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ที่ 3-5 ของแต่ละรอบแรกไปแข่งขันรอบรองชนะเลิศหนึ่งรอบ ที่เหลือคัดออก ที่ 1-3 ของรอบรอบชนะเลิศไปแข่งขันรอบชนะเลิศ
มากกว่า 27 ลำ จัดแข่งขันจำนวนรอบแรกเท่าที่ต้องการตามจำนวนเรือเข้าแข่งขัน และจัดรอบรองชนะเลิศสามรอบที่ 1-3 ของแต่ละรอบรองชนะเลิศ ไปแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ
- การจัดแบ่งจำนวนเรือในแต่ละรอบแรก จะต้องจัดให้มีจำนวนเรือไปแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ (หรือในรอบรองชนะเลิศ) อย่างน้อยสามลำจากแต่ละรอบแรก
- การจับฉลากแบ่งเรือ ความแตกต่างกันในแต่ละรอบแรก จะต้องไม่เกินหนึ่งลำ ถ้าหากจำนวนเรือมีความแตกต่างกันในแต่ละรอบแรก จะต้องจัดจำนวนเรือในรอบแรกลำดับต้น ๆ ให้มีจำนวนมากกว่า
- ลูกเรือลำใดไม่ได้ร่วมแข่งขันในรอบคัดเลือกที่ได้กล่าวมาแล้ว จะไม่ได้รับอนุญาตให้แข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ
องค์ประกอบของลูกเรือที่ได้รับคัดเลือกเข้าแข่งขันในรอบรองชนะเลิศ หรือรอบชิงชนะเลิศ จะเปลี่ยนตัวไม่ได้ การแข่งขันในรอบคัดเลือกและรอบชิงชนะเลิศ จะต้องใช้สนามแข่งขันเดียวกัน การเข้าแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ จะไม่ขึ้นอยู่กับเวลาที่ทำได้ในรอบคัดเลือก
- สำหรับการแข่งขันระยะเกินกว่า 1,000 ม. จะไม่จัดให้มีรอบคัดเลือก และทำการปล่อยเรือที่เข้าแข่งขันทั้งหมดพร้อมกัน
- ถ้าความกว้างของสนามแข่งขันไม่อำนวยให้ทำการปล่อยเรือพร้อมกัน ให้ทำการปล่อยเรืออย่างปรกติแบบเว้นช่วงเวลา
การปล่อยเรือ (Start)
- จะต้องมีการจับฉลากในการกำหนดตำแหน่งของเรือที่เส้นปล่อยเรือในรอบคัดเลือก จับได้หมายเลยหนึ่ง จะถูกวางไว้ทางซ้าย หมายเลขสองจะอยู่ถัดมาและต่อ ๆ ไป
- ในการแข่งขันที่มีรอบแรกหลายรอบ จะต้องมีการจับฉลากแยกแต่ละรอบแรก
- ผู้แข่งขันจะต้องอยู่ในพื้นที่ปล่อยเรือในเวลาที่เพียงพอต่อการเตรียมตัวให้พร้อมในการปล่อยเรือ การปล่อยเรือจะต้องเป็นไปตามเวลาที่กำหนด โดยจะไม่มีการรอเรือที่ยังไม่เข้าเส้นปล่อยเรือ ตำแหน่งของเรือที่เส้นปล่อยเรือ จะต้องอยู่ในลักษณะที่หัวเรือแข่งขันสัมผัสเส้นปล่อยเรือ
- เรือทุกลำจะต้องอยู่นิ่งไม่เคลื่อนที่
- กรรมการปล่อยเรือ จะประกาศให้ผู้แข่งขันที่เส้นปล่อยเรือได้เตรียมตัวว่า “เตรียมพร้อม หรือ ATTENTION PLEASE” และเมื่อเห็นทุกอย่างเรียบร้อย จะให้สัญญาณปล่อยเรือด้วยการยิงปืน
ในกรณีแข่งขันในระยะไกล กรรมการปล่อยเรือจะประกาศ “ONE TO GO BEFORE START” แล้วให้สัญญาณด้วยการยิงปืน
ใช้คำพูดว่า “ไป หรือ GO” แทนสัญญาณยิงปืนก็ได้
ถ้ากรรมการปล่อยเรือเห็นว่าเรือที่ออกตามสัญญาณปล่อยเรือ ไม่ได้อยู่ในแนวเส้นปล่อยเรืออย่างถูกต้อง จะสั่งให้ “หยุด หรือ STOP” แล้วมอบให้กรรมการกำกับเส้นปล่อยเรือจัดเรือเข้าเส้นปล่อยเรือใหม่
- ถ้าผู้แข่งขันลงพายออกเรือไปข้างหน้าหลังคำสั่ง “ATTENTION PLEASE” และก่อนเสียสัญญาณปืน ถือว่าผู้แข่งขันนั้นออกเรือผิดกติกา (False Start)
กรรมการปล่อยเรือจะต้องเตือนผู้แข่งขันที่กระทำผิดทันที
ถ้าการกระทำออกเรือผิดกติกาถึงสองครั้งโดยผู้แข่งขันคนเดียวกัน กรรมการปล่อยเรือจะต้องให้ผู้แข่งขันนั้นออกจากเที่ยวแข่งขันนั้น วิธีการเตือนครั้งหนึ่งแล้วตามด้วยการให้ออกจากการแข่งขันโดยกรรมการปล่อยเรือ จะใช้กับเรือ/ผู้แข่งขันที่ออกเรือผิดกติกาเท่านั้น ในกรณีที่มีการติดตังเครื่องปล่อยเรือแบบอัตโนมัติและทำงานได้ถูกต้องการออกเรือผิดกติกาจะไม่เกิดขึ้น
การยับยั้ง (Interruption)
- กรรมการกำกับสนามแข่งขัน มีสิทธิยับยั้งหรือหยุดเรือที่ถูกปล่อยเรือออกมาอย่างถูกต้องในการแข่งขันระยะสั้น ถ้ามีอุปสรรคที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น การยับยั้งดังกล่าวจะมีขึ้นได้ด้วยการแสดงสัญญาณธงสีแดงและสัญญาณเสียงของกรรมการกำกับสนามแข่งขัน ผู้แข่งขัน จะต้องหยุดพายและรอฟังคำสั่งต่อไป
- ถ้ามีการประกาศเที่ยวแข่งขันเป็นโมฆะ จะต้องไม่มีการเปลี่ยนตัวลูกเรือใจการปล่อยเรือครั้งใหม่
- ในเหตุการณ์ที่มีเรือล่ม ผู้แข่งขันหรือลูกเรือ จะถูกให้ออกจากการแข่งขัน ถ้าไม่สามารถกลับขึ้นบนเรือได้โดยไม่มีการช่วยเหลือจากภายนอก
การพายนำและพายเกาะติดตาม (Taking pace and Hanging)
- การพายนำหรือการได้รับการช่วยเหลือจากเรือที่ไม่ได้ร่วมแข่งขัน หรือด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งจะกระทำไม่ได้
- ระหว่างการแข่งขันดำเนินการอยู่ ห้ามเด็ดขาดสำหรับลูกเรือที่ไม่ได้ร่วมการแข่งขันเข้าไปดำเนินการทั้งหมดหรือส่วนใดส่วนหนึ่งในสนามแข่งขัน รวมทั้งทางด้านนอกเครื่องหมายทุ่นลอย
- การแข่งขันในระยะตั้งแต่ 1,000 ม.ลงมา ผู้แข่งขันจะต้องรักษาตำแหน่งอยู่ในลู่ของตนตั้งแต่เส้นปล่อยเรือจนถึงเส้นชัยของสนามแข่งขัน ห้ามพายเกาะติดตามและพายเข้าใกล้ผู้แข่งขันอื่นน้อยกว่าห้าเมตรทุกทิศทาง
- การแข่งขันในระยะตั้งแต่ 1,000 ม.ขึ้นไป ผู้แข่งขันอาจพายออกนอกลู่ของตนได้ แต่ต้องไม่ไปกีดขวางผู้แข่งขันอื่น
- การแข่งขันในระยะไกล จะใช้สัญญาณเตือน เช่น เสียระฆัง ให้ผู้แข่งขันได้ทราบว่ากำลังผ่านระยะ 1,000 ม.จากเส้นชัย
การเลี้ยวหัน (Turn)
- เมื่อการแข่งขันหระทำในสนามแข่งขันที่มีจุดเลี้ยว การเลี้ยวหันของเรือจะต้องกระทำโดยเอาจุดเลี้ยวไว้ทางกราบซ้ายของเรือ (เลี้ยวในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา)
- เมื่อพายเรือรอบจุดเลี้ยว ผู้แข่งขันที่อยู่ทางด้านนอกจะต้องให้ทางแก่ผู้แข่งขันที่อยู่ทางด้านใน ถ้าหัวเรือของผู้แข่งขันนั้นอย่างน้อยอยู่เสมอในแนวเดียวกับของดาดฟ้าเปิด (ช่องนั่งฝีพาย) ด้านหัวเรือของผู้แข่งขันด้านนอก สำหรับเรือ K2 และ K4 หมายถึงช่องนั่งฝีพายหัวเรือ สำหรับเรือ C1 หมายถึงตัวผู้แข่งขัน และสำหรับเรือ C2 หมายถึงลูกเรือคนหัวเรือสุด
- ผู้แข่งขันจะไม่ถูกให้ออกจากการแข่งขันในการพายเรือไปถูกทุ่นจุดเลี้ยว นอกจากกรมการที่จุดเลี้ยวจะมีความเห็นว่า การกระทำเช่นนั้นจะทำให้เกิดความได้เปรียบในการเลี้ยวหันเรือจะกระทำให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้กับทุ่นจุดเลี้ยว
การแซง (Overtaking)
- เรือที่พายแซงเรือลำอื่นในการแข่งขัน เป็นหน้าที่ของเรือที่แซงจะต้องคอยหลบหลีกเรือที่ถูกแซงตลอดเวลาในขณะที่แซง
- ห้ามเรือที่ถูกแซงจะเปลี่ยนทิศทางขวางต่อเรือที่แซง

เรือแคนูมีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์หลายพันปี โดยชาวอินเดียนแดง ซึ่งเรือแคนูถูกสร้างขึ้นเพื่อการเดินทาง การค้าขาย การสงคราม และเพื่อการล่าสัตว์ รูปลักษณ์มีความต่างกันตามสภาพแวดล้อมถิ่นที่อยู่อาศัย เช่นเรือแคนูของชาวเมารีในประเทศนิวซีแลนด์มีความยาว 35 เมตร ใช้ฝีพายถึง 80 คน ชาวอินเดียนแดงในทวีปอเมริกาเหนือสร้างเรือแคนูจากหนังกวาง และเปลือกไม้เอิร์ซ (Birch bark) ส่วนชาวอียิปต์ทำมาจากเปลือกไม้พาพัยรัส (Papyrus reeds) ส่วนชาวโพลีนีเซียนใช้ท่อนซุงทำเรือแคนู ชาวเอสกิโมในประเทศกรีนแลนด์ได้สร้างเรือขึ้นมาชนิดหนึ่งโดยเรียกว่า คยัค มีลักษณะคล้ายเรือแคนูแต่มีฝาปิดเรือคยัคนี้ถูกค้นพบโดยนักสำรวจชาวอังกฤษที่ชื่อ Burrough ในปี ค.ศ.1556
ในเวลาต่อมาเรือแคนูเริ่มเป็นที่นิยมกันมากสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบการผจญภัยกลางน้ำอันเชี่ยวกราดจึงได้มีการจัดตั้งเป็นสหพันธ์เรือแคนูนานาชาติ (International Canoe Federtion –I.C.F) ขึ้นในปี ค.ศ.1700 ได้มีการผลักดันกีฬาเรือแคนูให้เป็นกีฬาสาธิตในโอลิมปิกเกมส์เมื่อปี ค.ศ.1928 และอีก 12 ปีต่อมากีฬาเรือแคนูก็ได้บรรจุลงในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกอย่างถาวร ในการกีฬาจะใช้คำว่าเรือแคนูซึ่งหมายถึงทั้งเรือแคนูและคยัครวมกัน เอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 13 ที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าในการจัดการแข่งขัน กีฬาเรือแคนูก็เป็น 1 ประเภทของกีฬาที่จัดให้มีการแข่งขันนั้นด้วย

กฎการแข่งขัน (RACING REGULATIONS)
การให้ออกจากการแข่งขัน (Disqualifications)
- ผู้แข่งขันใดที่พยายามเอาชนะในการแข่งขันทุกวิธีอย่างไร้เกียรติ หรือฝ่าฝืนกฎการแข่งขัน หรือไม่คำนึงถึงธรรมชาติศักดิ์ศรีของกฎการแข่งขัน จะถูกให้ออกจากการแข่งขันในเที่ยวการแข่งขันที่เกี่ยวข้องนั้น
- ผู้แข่งขันเรือคยัคหรือเรือแคนูที่ได้แข่งขันจบเที่ยวไปแล้ว ซึ่งได้ปรากฎภายหลับจากการตรวจสอบว่าไม่เป็นไปตามการแบ่งประเภทของ ICF จะถูกให้ออกจากการแข่งขันในเที่ยวการแข่งขันนั้น
- ระหว่างการแข่งขัน ห้ามรับการช่วยเหลือจากภายนอก หรือมีเรือลำอื่นแล่นติดตามข้างสนามแข่งขันไปด้วย ถึงแม้จะอยู่ข้างนอกลู่แข่งขัน หรือขว้างสิ่งของเข้ามาในสนามแข่งขัน การกระทำทั้งหมดเช่นนั้น จะเป็นสาเหตุให้ผู้แข่งขันที่เกี่ยวข้องถูกให้ออกจากการแข่งขันได้
- การให้ออกจากการแข่งขันทั้งหมดโดยคณะกรรมการตัดสิน จะต้องกระทำเป็นหนังสือยืนยันทันทีพร้อมกับเหตุผล หัวหน้าทีมจะได้รับทราบจากสำเนาตามกำหนดเวลาซึ่งจะเป็นเวลาที่จะเริ่มยื่นการประท้วง
วิธีการขับเคลื่อนเรือ (Means of Propulsion)
- เรือคยัคจะขับเคลื่อนได้ด้วยการใช้พายชนิดสองใบ (Double-bladed paddles) อย่างเดียว
- เรือแคนูแบบแคนาเดียนจะขับเคลื่อนได้ด้วยการใช้พายชนิดใบเดียว (Single-bladed paddles) อย่างเดียว
- ห้ามยึดตรึงพายติดกับตัวเรือด้วยวิธีใด ๆ
- ถ้าเกิดหัก ผู้แข่งขันจะรับพายใหม่จากผู้สนับสนุนไม่ได้
ระบบการจัดแข่งขันรอบคัดเลือกและรอบชิงชนะเลิศ (Heats and Finals)
- จะต้องมีจำนวนเรือคยัคหรือเรือแคนูอย่างน้อยสามลำ จึงจะจัดการแข่งขันได้ ถ้ามีจำนวนเรือเข้าแข่งขันตั้งแต่ระยะ 1,000 ม. ลงมามาเกินไป จะต้องจัดให้มีรอบคัดเลือก (Heats) จำนวนเรือคยัคหรือเรือแคนูในแต่ละรอบคัดเลือกและรอบชิงชนะเลิศจะต้องไม่เกิน เก้า(9) ลำ
- การจัดแบ่ง (Division) เรือในแต่ละรอบคัดเลือก จะต้องกระทำด้วยการจับฉลาก
- เรือคยัคหรือเรือแคนูที่มีจำนวน แปด หรือเก้า ลำ ให้จัดแข่งขันเป็นรอบชิงชนะเลิศได้เลย ถ้าหากมีจำนวนเรือมากกว่านี้ ให้จัดแบ่งเรือเข้าแข่งขัน ดังนี้
3 ถึง 9 ลำ จัดเป็นรอบชิงชนะเลิศ
10 ถึง 14 ลำ จัดแข่งขันสองรอบแรก (Heats) ที่ 1-3 ของแต่ละรอบแรกไปรอแข่งขันรอบชิงชนะเลิศที่เหลือไปแข่งขันรอบรองชนะเลิศ (Semi-final) หนึ่งรอบ ที่ 1-3 ของรอบรองชนะเลิศไปแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ
15 ถึง 27 ลำ จัดแข่งขันสามรอบแรกที่ 1-2 ของแต่ละรอบแรก ไปรอแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ที่ 3-5 ของแต่ละรอบแรกไปแข่งขันรอบรองชนะเลิศหนึ่งรอบ ที่เหลือคัดออก ที่ 1-3 ของรอบรอบชนะเลิศไปแข่งขันรอบชนะเลิศ
มากกว่า 27 ลำ จัดแข่งขันจำนวนรอบแรกเท่าที่ต้องการตามจำนวนเรือเข้าแข่งขัน และจัดรอบรองชนะเลิศสามรอบที่ 1-3 ของแต่ละรอบรองชนะเลิศ ไปแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ
- การจัดแบ่งจำนวนเรือในแต่ละรอบแรก จะต้องจัดให้มีจำนวนเรือไปแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ (หรือในรอบรองชนะเลิศ) อย่างน้อยสามลำจากแต่ละรอบแรก
- การจับฉลากแบ่งเรือ ความแตกต่างกันในแต่ละรอบแรก จะต้องไม่เกินหนึ่งลำ ถ้าหากจำนวนเรือมีความแตกต่างกันในแต่ละรอบแรก จะต้องจัดจำนวนเรือในรอบแรกลำดับต้น ๆ ให้มีจำนวนมากกว่า
- ลูกเรือลำใดไม่ได้ร่วมแข่งขันในรอบคัดเลือกที่ได้กล่าวมาแล้ว จะไม่ได้รับอนุญาตให้แข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ
- องค์ประกอบของลูกเรือที่ได้รับคัดเลือกเข้าแข่งขันในรอบรองชนะเลิศ หรือรอบชิงชนะเลิศ จะเปลี่ยนตัวไม่ได้ การแข่งขันในรอบคัดเลือกและรอบชิงชนะเลิศ จะต้องใช้สนามแข่งขันเดียวกัน การเข้าแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ จะไม่ขึ้นอยู่กับเวลาที่ทำได้ในรอบคัดเลือก
- สำหรับการแข่งขันระยะเกินกว่า 1,000 ม. จะไม่จัดให้มีรอบคัดเลือก และทำการปล่อยเรือที่เข้าแข่งขันทั้งหมดพร้อมกัน
- ถ้าความกว้างของสนามแข่งขันไม่อำนวยให้ทำการปล่อยเรือพร้อมกัน ให้ทำการปล่อยเรืออย่างปรกติแบบเว้นช่วงเวลา
การปล่อยเรือ (Start)
- จะต้องมีการจับฉลากในการกำหนดตำแหน่งของเรือที่เส้นปล่อยเรือในรอบคัดเลือก จับได้หมายเลยหนึ่ง จะถูกวางไว้ทางซ้าย หมายเลขสองจะอยู่ถัดมาและต่อ ๆ ไป
- ในการแข่งขันที่มีรอบแรกหลายรอบ จะต้องมีการจับฉลากแยกแต่ละรอบแรก
- ผู้แข่งขันจะต้องอยู่ในพื้นที่ปล่อยเรือในเวลาที่เพียงพอต่อการเตรียมตัวให้พร้อมในการปล่อยเรือ การปล่อยเรือจะต้องเป็นไปตามเวลาที่กำหนด โดยจะไม่มีการรอเรือที่ยังไม่เข้าเส้นปล่อยเรือ ตำแหน่งของเรือที่เส้นปล่อยเรือ จะต้องอยู่ในลักษณะที่หัวเรือแข่งขันสัมผัสเส้นปล่อยเรือ
- เรือทุกลำจะต้องอยู่นิ่งไม่เคลื่อนที่
- กรรมการปล่อยเรือ จะประกาศให้ผู้แข่งขันที่เส้นปล่อยเรือได้เตรียมตัวว่า “เตรียมพร้อม หรือ ATTENTION PLEASE” และเมื่อเห็นทุกอย่างเรียบร้อย จะให้สัญญาณปล่อยเรือด้วยการยิงปืน
ในกรณีแข่งขันในระยะไกล กรรมการปล่อยเรือจะประกาศ “ONE TO GO BEFORE START” แล้วให้สัญญาณด้วยการยิงปืน
ใช้คำพูดว่า “ไป หรือ GO” แทนสัญญาณยิงปืนก็ได้
ถ้ากรรมการปล่อยเรือเห็นว่าเรือที่ออกตามสัญญาณปล่อยเรือ ไม่ได้อยู่ในแนวเส้นปล่อยเรืออย่างถูกต้อง จะสั่งให้ “หยุด หรือ STOP” แล้วมอบให้กรรมการกำกับเส้นปล่อยเรือจัดเรือเข้าเส้นปล่อยเรือใหม่
- ถ้าผู้แข่งขันลงพายออกเรือไปข้างหน้าหลังคำสั่ง “ATTENTION PLEASE” และก่อนเสียสัญญาณปืน ถือว่าผู้แข่งขันนั้นออกเรือผิดกติกา (False Start)
กรรมการปล่อยเรือจะต้องเตือนผู้แข่งขันที่กระทำผิดทันที
ถ้าการกระทำออกเรือผิดกติกาถึงสองครั้งโดยผู้แข่งขันคนเดียวกัน กรรมการปล่อยเรือจะต้องให้ผู้แข่งขันนั้นออกจากเที่ยวแข่งขันนั้น วิธีการเตือนครั้งหนึ่งแล้วตามด้วยการให้ออกจากการแข่งขันโดยกรรมการปล่อยเรือ จะใช้กับเรือ/ผู้แข่งขันที่ออกเรือผิดกติกาเท่านั้น ในกรณีที่มีการติดตังเครื่องปล่อยเรือแบบอัตโนมัติและทำงานได้ถูกต้องการออกเรือผิดกติกาจะไม่เกิดขึ้น
การยับยั้ง (Interruption)
- กรรมการกำกับสนามแข่งขัน มีสิทธิยับยั้งหรือหยุดเรือที่ถูกปล่อยเรือออกมาอย่างถูกต้องในการแข่งขันระยะสั้น ถ้ามีอุปสรรคที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น การยับยั้งดังกล่าวจะมีขึ้นได้ด้วยการแสดงสัญญาณธงสีแดงและสัญญาณเสียงของกรรมการกำกับสนามแข่งขัน ผู้แข่งขัน จะต้องหยุดพายและรอฟังคำสั่งต่อไป
- ถ้ามีการประกาศเที่ยวแข่งขันเป็นโมฆะ จะต้องไม่มีการเปลี่ยนตัวลูกเรือใจการปล่อยเรือครั้งใหม่
- ในเหตุการณ์ที่มีเรือล่ม ผู้แข่งขันหรือลูกเรือ จะถูกให้ออกจากการแข่งขัน ถ้าไม่สามารถกลับขึ้นบนเรือได้โดยไม่มีการช่วยเหลือจากภายนอก
การพายนำและพายเกาะติดตาม (Taking pace and Hanging)
- การพายนำหรือการได้รับการช่วยเหลือจากเรือที่ไม่ได้ร่วมแข่งขัน หรือด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งจะกระทำไม่ได้
- ระหว่างการแข่งขันดำเนินการอยู่ ห้ามเด็ดขาดสำหรับลูกเรือที่ไม่ได้ร่วมการแข่งขันเข้าไปดำเนินการทั้งหมดหรือส่วนใดส่วนหนึ่งในสนามแข่งขัน รวมทั้งทางด้านนอกเครื่องหมายทุ่นลอย
- การแข่งขันในระยะตั้งแต่ 1,000 ม.ลงมา ผู้แข่งขันจะต้องรักษาตำแหน่งอยู่ในลู่ของตนตั้งแต่เส้นปล่อยเรือจนถึงเส้นชัยของสนามแข่งขัน ห้ามพายเกาะติดตามและพายเข้าใกล้ผู้แข่งขันอื่นน้อยกว่าห้าเมตรทุกทิศทาง
- การแข่งขันในระยะตั้งแต่ 1,000 ม.ขึ้นไป ผู้แข่งขันอาจพายออกนอกลู่ของตนได้ แต่ต้องไม่ไปกีดขวางผู้แข่งขันอื่น
- การแข่งขันในระยะไกล จะใช้สัญญาณเตือน เช่น เสียระฆัง ให้ผู้แข่งขันได้ทราบว่ากำลังผ่านระยะ 1,000 ม.จากเส้นชัย
การเลี้ยวหัน (Turn)
- เมื่อการแข่งขันหระทำในสนามแข่งขันที่มีจุดเลี้ยว การเลี้ยวหันของเรือจะต้องกระทำโดยเอาจุดเลี้ยวไว้ทางกราบซ้ายของเรือ (เลี้ยวในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา)
- เมื่อพายเรือรอบจุดเลี้ยว ผู้แข่งขันที่อยู่ทางด้านนอกจะต้องให้ทางแก่ผู้แข่งขันที่อยู่ทางด้านใน ถ้าหัวเรือของผู้แข่งขันนั้นอย่างน้อยอยู่เสมอในแนวเดียวกับของดาดฟ้าเปิด (ช่องนั่งฝีพาย) ด้านหัวเรือของผู้แข่งขันด้านนอก สำหรับเรือ K2 และ K4 หมายถึงช่องนั่งฝีพายหัวเรือ สำหรับเรือ C1 หมายถึงตัวผู้แข่งขัน และสำหรับเรือ C2 หมายถึงลูกเรือคนหัวเรือสุด
- ผู้แข่งขันจะไม่ถูกให้ออกจากการแข่งขันในการพายเรือไปถูกทุ่นจุดเลี้ยว นอกจากกรมการที่จุดเลี้ยวจะมีความเห็นว่า การกระทำเช่นนั้นจะทำให้เกิดความได้เปรียบในการเลี้ยวหันเรือจะกระทำให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้กับทุ่นจุดเลี้ยว
การแซง (Overtaking)
- เรือที่พายแซงเรือลำอื่นในการแข่งขัน เป็นหน้าที่ของเรือที่แซงจะต้องคอยหลบหลีกเรือที่ถูกแซงตลอดเวลาในขณะที่แซง
- ห้ามเรือที่ถูกแซงจะเปลี่ยนทิศทางขวางต่อเรือที่แซง
การชนกันหรือการเกิดความเสียหาย (Collision or Damage)
- ผู้แข่งขันใดที่ทำให้เกิดเหตุเรือชนกัน หรือทำให้พายของเรือแคนูหรือเรือคยัคของผู้แข่งขันอื่นเสียหาย อาจถูกให้ออกจากการแข่งขัน
การเข้าเส้นชัย (Finish)
- เรือที่ถือว่าผ่านเส้นชัย หัวเรือจะต้องผ่านเส้นชัยและมีลูกเรือครบบนเรือ
- ถ้ามีเรือสองลำหรือมากกว่านั้น เข้าเส้นชัยในเวลาเดียวกัน ให้ถือว่ามีลำดับที่เดียวกัน
- ในกรณีที่มีผู้แข่งขันมีลำดับที่เดียวกัน (Dead Heat Finish) ซึ่งเป็นลำดับที่ที่จะต้องเลื่อนไปแข่งขันในระดับต่อไป จะต้องใช้กฎ ต่อไปนี้
ก. ถ้าหากมีจำนวนลู่เพียงพอสำหรับการแข่งขันในระดับต่อไป จะต้องใช้วิธีจับฉลากเพื่อกำหนดว่า เที่ยวแข่งขันใดที่เรือเหล่านี้จะเลื่อนเข้าไปแข่งขัน ถ้าเป็นไปได้ อาจจัดให้มีลู่ที่ 10 ด้วยก็ได้ (ปรกติสนามแข่งขันจะมี 9 ลู่)
ข. ถ้าหากมีจำนวนลู่ไม่พอ จะต้องจัดให้มีการแข่งขันกันขึ้นอีกครั้งระหว่างเรือที่เกี่ยวข้อง ในเวลาหนึ่งชั่วโมงหลังการแข่งขันเที่ยวสุดท้ายของวันหรือของครึ่งวันโปรแกรมการแข่งขัน
ค. ถ้าหากเกิดมีผู้แข่งขันได้ลำดับที่เท่ากันอีกในการแข่งขันครั้งใหม่นี้ จะต้องใช้วิธีการจับฉลากเพื่อเป็นการตัดสินสุดท้าย

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เรื่องกล้วย.......กล้วย.........

กล้วย


กล้วย เป็นพืชพื้นบ้านของไทยที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในทุกยุคทุกสมัย เพราะทุกส่วนของกล้วยสามารถนำมาใชประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ขนม ของตกแต่ง กระทง หรือภาชนะ

ถิ่นกำเนิดของกล้วย (First Home)

กล้วยเป็นพืชที่ชอบอากาศร้อนชื้น ถิ่นแรกของกล้วยจึงอยู่แถบเอเชียตอนใต้ ซึ่งจะพบกล้วยพื้นเมืองทั้งที่มีเมล็ดและไม่มีเมล็ด และจากผลของการย้ายถิ่นฐานในการทำมาหากิน การอพยพประชากรจากเอเชียตอนใต้ไปยังหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ตั้งแต่ต้นคริสต์ศักราชเป็นต้นมา ในการอพยพแต่ละครั้งจะต้องมีการนำเอาเสบียงอาหารติดตัวไปด้วย จึงได้มีการนำเอากล้วยไปปลูกแถบหมู่เกาะฮาวายและหมู่เกาะทางด้านตะวันออก

สำหรับประวัติกล้วยในประเทศไทย เข้าใจว่าประเทศไทยเป็นแหล่งกำเนิดของกล้วยป่าและต่อมาได้มีการนำเข้ากล้วยตานี และกล้วยชนิดอื่นในช่วงที่มีการอพยพของคนไทยในการตั้งถิ่นฐานอยู่ที่จังหวัดสุโขทัย มีเอกสารกล่าวว่าในสมัยอยุธยาพบว่ามีกล้วยร้อยหวี



ลักษณะทั่วไป
กล้วย เป็นไม้ผล ลำต้น เกิดจากกาบหุ้มซ้อนกัน สูงประมาณ 2 – 5 เมตร
ใบ เป็นใบเดี่ยว เกิดกระจายส่วนปลายของลำต้นเวียนสลับซ้ายขวาต่างระนาบกัน ก้านใบยาว แผ่น ใบกว้าง เส้นของใบขนานกัน ปลายใบมน มีติ่ง ผิวใบเรียบลื่น ใบมีสีเขียวด้านล่างมีไขนวลหรือแป้งปกคลุม เส้นและขอบใบเรียบ ขนาดและความยาวของใบขึ้นอยู่กับแต่ละพันธุ์
ดอก เป็นดอกห้อยลงมายาวประมาณ 60 – 130 ซม. ซึ่งเรียกว่าหัวปลี ตามช่อจะมีกาบหุ้มสีแดงเป็นรูปกลมรี ยาว 15 – 30 ซม. ช่อดอกมีเจริญก็จะกลายเป็นผล ผล เป็นผลสดจะประกอบด้วยหวีกล้วย เครือละ 7 – 8 หวี แต่ละหวีมีกล้วยอยู่ประมาณ 10 กว่าลูก ขนาดและสีของกล้วยจะมีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามชนิดของแต่ละพันธุ์ บางชนิดมีผลสีเขียว , เหลือง , แดง แต่ละต้นให้ผลครั้งเดี่ยวเท่านั้น เมล็ด มีลักษณะกลมขรุขระ เปลือกหุ้มเมล็ดมีสีดำ หนาเหนียวเนื้อในเมล็ดมีสีขาว
ขยายพันธุ์ ด้วยการแยกหน่อ หรือแยกเหง้า
รสชาติ รสฝาด

ประโยชน์

ทางด้านอาหาร เป็นไม้ผลนำมาบริโภค ใบนำมาห่อขนม หรือส่วนของลำต้น ใบนำมาทำกระทง ก้านนำมาประดิษฐ์เป็นของเล่น
ประโยชน์ทางสมุนไพร ยางกล้วยจากใบใช้ห้ามเลือด โดยหยดยางลงบนแผล ใช้กล้วยดิบทั้งลูกบดกับน้ำให้ละเอียด และใส่น้ำตาล รับประทาน แก้โรคท้องเสีย แผลในกระเพาะอาหารไม่ย่อย ผลสุกให้เป็นอาหารเป็นยาระบายที่เป็นโรคริดสีดวงทวาร อุจาจาระแข็ง หัวปลี แก้โรคลำไส้ แก้โรคโลหิตจาง และลดน้ำตาลในเลือด


รูปร่างและลักษณะของกล้วยแต่ละชนิดในประเทศไทย
เนื่องจากกล้วยแต่ละชนิดมีรูปร่างและลักษณะเฉพาะตัว ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องแจกแจงให้เกิดความเด่นชัดของกล้วยแต่ละชนิดไว้ดังต่อไปนี้ :

• กล้วยสกุล Musa : มีการแตกหน่อและใช้ผลรับประทานได้

กล้วยสกุล Musa ในหมู่ Callimusa: ที่พบในประเทศไทยขณะนี้มีชนิดเดียว คือ

กล้วยป่าชนิด Musa gracilis Horltt. ชื่ออื่นๆ กล้วยทหารพราน หรือกล้วยเลือด

กล้วยชนิดนี้ มีลำต้นเทียมสูง 0.6 – 2 เมตร โคนต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8 เซนติเมตร กาบและใบมีปื้นสีม่วงเข้ม ใบกว้าง 25-35 เซนติเมตร ยาว 90-150 เซนติเมตร สีเขียว มีนวล ก้านใบยาว 30-70 เซนติเมตร ช่อดอกตั้งยาว 60 เซนติเมตรหรือกว่านั้น ก้านช่อดอกมีขนสั้นปกคลุมหนาแน่น ดอกตัวเมียสีขาวหม่น ปลายสีเขียว ยาว 2.5-4 เซนติเมตร เรียวชิดกัน 3-8 แถว แถวหนึ่ง มี 2-4 ดอก ใบประดับกว้างประมาณ 4.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 15 เวนติเมตร สีม่วงปลายสีเขียว อาจร่วงหลุดไปก่อนบ้าง ดอกตัวผู้สีเหลือง ยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ผลตรง สีเขียว มีนวลและมีทางสีม่วงตามยาวของผล ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 2-2.5 เซนติเมตร เป็นเหลี่ยม 2-3 เหลี่ยม ปลายทู่ ก้านผลยาวประมาณ 2 เซนติเมตร เมื่อยังอ่อนมีขนประปราย แก่แล้วผิวเกลี้ยง

กล้วยป่าชนิดนี้มีเขตการกระจายพันธุ์ในประเทศไทยทางภาคใต้ ในท้องที่จังหวัดยะลาและนราธิวาส ขึ้นในป่าดิบชื้น ในต่างประเทศพบที่มาเลเซีย ชาวมลายูเรียกว่าปีชังกะแต ปีชังเวก และปีชังโอนิก



กล้วยสกุล Musa ในหมู่ Eumusa: ในประเทศไทยมี 3 ชนิด คือ

กล้วยป่า ( Musa acuminata Colla) ชื่ออื่น ๆ กล้วยแข้ ( เหนือ ). กล้วยเถื่อน ( ใต้ ). กล้วยลิง ( อุตรดิตถ์ ). กล้วยหม่น ( เชียงใหม่ )

กล้วยป่า มี ลำต้นเทียมสูง 2.5 – 3.5 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางต่ำกว่า 15 เซนติเมตร กาบลำต้นนอกมีปื้นดำ มีนวลเล็กน้อย ส่วนด้านในสีแดง ก้านใบสีชมพูอมแดงมีจุดดำ มีครีบเส้นกลางใบสีเขียว ใบชูขึ้นค่อนข้างตรง ก้านช่อดอกมีขนอ่อน ๆ มาก ใบประดับรูปค่อนข้างยาว ปลายแหลมด้านบนสีม่วงอมแดง มีนวล ด้านล่างที่โคนสีแดงจัด เมื่อใบกางตั้งขึ้นจะเอนไปด้านหลัง และม้วนงอเห็นได้ชัด การเรียงของใบประดับช่อดอกไม่ค่อยช้อนมาก และจะมีลักษณะนูนขึ้นที่โคนของใบประดับ เห็นเป็นสันชัดเจนเมื่อใบประดับหลุดออก ดอกย่อยมีก้านดอกสั้น ผลมีก้านและมีขนาดเล็ก รูปร่างของผลมีหลายแบบแล้วแต่ชนิดย่อย (Subspecies) บางชนิดมีผลโค้งงอ บางชนิดไม่โค้งงอ ผลมีเนื้อน้อยสีขาว รสหวาน มีเมล็ดจำนวนมาก สีดำ ผนังหนา และแข็ง

กล้วยป่าที่พบในประเทศไทยมี 4 ชนิดย่อย (Subspecies) คือ

• Musa acuminata Colla ssp. siamea Simmonds

• M. acuminata Colla ssp. burmanisa Simmonds

• M. acuminata Colla ssp. malaccensis (Ridl.) Simmonds

• M. acuminata Colla ssp. microcarpa (Becc.) Simmonds

กล้วยเหล่านี้พบว่าขึ้นอยู่ทั่วไปในป่าดิบ มีเขตการกระจายพันธุ์ในประเทศไทยทั่วทุกภาคในต่างประเทศพบที่อินเดีย พม่า ภูมิภาคอินโดจีน และภูมิภาคมาเลเซีย กล้วยชนิดนี้ นอกจากขยายพันธุ์ด้วยการแยกหน่อแล้ว ยังใช้เมล็ดปลูกได้ ผลของกล้วยป่าเมื่อสุกกินได้ แต่ไม่นิยมเพราะมีเมล็ดมาก ผลอ่อนและหัวปลีรับประทานได้

กล้วยตานี ( Musa balbisiana Colla) ชื่ออื่น ๆ กล้วยงู ( พิจิตร ): กล้วยชะนีใน . กล้วยตานีใน . กล้วยป่า . กล้วยเมล็ด ( สุรินทร์ ): กล้วยพองลา ( ใต้ )

กล้วยตานี ลำต้นเทียมสูง 3.5-4 เมตร เว้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 20 เซนติเมตร สีเขียว ไม่มีปื้นดำ กาบลำต้นด้านในสีเขียว ก้านใบสีเขียว เส้นกลางใบสีเขียวไม่มีร่อง ก้านช่อดอกสีเขียวไม่มีขน ใบประดับรูปค่อนข้างป้อม มีความกว้างมาก ปลายมน ด้านบนสีแดงอมม่วง มีนวล ด้านล่างสีแดงเข้มสดใส เมื่อใบประดับกางขึ้นตั้งฉากกับช่อดอกและไม่ม้วนงอ ใบประดับแต่ละใบซ้อนกันลึก เครือหนึ่งมีประมาณ 8 หวี หวีหนึ่งมี 10-14 ผล ผลป้อมขนาดใหญ่ มีเหลี่ยมเห็นชัดเจน ลักษณะคล้ายกล้วยหักมุกแต่ปลายทู่ ก้านผลยาว ผลเมื่อสุกผิวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เนื้อมีรสหวาน มีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดใหญ่สีดำ ผนังหนา แข็ง

กล้วยตานีที่พบในประเทศไทยมี 3 ชนิด แตกต่างที่ลำต้นเทียมและผล กล่าวคือกล้วยตานีพบทางภาคเหนือนั้น ลำต้นเทียมเกลี้ยงไม่มีปื้นดำเลย ผลจะสั้น ป้อม ส่วนตานีอีสานจะมีลำต้นเทียมที่มีประดำเล็กน้อย ผลคล้ายกล้วยน้ำว้า แต่ตานีทางภาคใต้ ลำต้นเทียมค่อนข้างจะมีปื้นดำหนา ผลคล้ายตานีเหนือแต่นาวกว่า และมีสีเขียวเป็นเงา นอกจากนี้ยังได้มีการนำตานีดำมาจากฟิลิปปินส์ แต่ตานีดำนี้เป็นพันธุ์พื้นเมืองของอินโดนีเซีย ลำต้นเทียมสีม่วงดำและเส้นกลางใบสีม่วงดำสี

เข้มมากจนดูเหมือนสีดำ ผลสีเขียวเข้มเป็นมันมีลักษณะคล้ายตานีใต้ มีเมล็ดมาก



กล้วยหก ( Musa itinerans Cheeseman) , กล้วยแดง ชื่ออื่น ๆ กล้วยอ่างขาง

กล้วยหกเป็นกล้วยป่าอีกชนิดหนึ่งใน section Eumusa ลำต้นเทียมสูงประมาณ 2.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 15 เซนติเมตร กาบลำต้นด้านนอกสีเขียวอมเหลืองมีประดำเล็กน้อย ด้านในสีเหลืองอ่อน ก้านในสีเขียวอมเหลืองและมีประเล็กน้อยมีปีก เส้นกลางใบสีเขียวก้านช่อดอกมีขน ใบประดับรูปไข่ ปลายมน ด้านบนสีเหลืองอมม่วงเข้ม ไม่มีนวล ด้านล่างสีครีม แต่ละใบเรียงซ้อนกันลึกและมีสันตื้นเมื่อใบประกอบหลุด เครือหนึ่งมี 5-7 หวี หวีหนึ่งมี 9-13 ผล ผลป้อม ปลายทู่ โคนเรียว ก้านผลยาวเกือบเท่าความยาวของผล เนื้อสีเหลืองและมีเมล็ด

กล้วยหกมีผลสีเขียวผลเล็ก ส่วนกล้วยแดงมีผลใหญ่กว่านิดหน่อยและเปลือกสีแดงพบมากในทางภาคเหนือ เช่น ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ พิจิตร พิษณุโลก และที่ดอยอ่างขาง จังหวัดเชียงใหม่ ปลีรับประทานได้



สำหรับกล้วยกินได้ มีดังนี้

กล้วยไข่ ‘Kluai Khai' ชื่ออื่น ๆ กล้วยกระ ชื่อสามัญ Pisang Mas

กล้วยไข่มีลำต้นเทียมสูงไม่เกิน 2.5 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 16 เซนติเมตร กาบลำต้นด้านนอกสีเขียวปนเหลือง มีประดำหนา ด้านในสีชมพูแดง ก้านใบสีเขียวอมเหลือง มีร่องกว้าง โคนก้านใบมีปีกสีชมพู ก้านช่อดอกมีขนอ่อน ใบประดับรูปไข่ ม้วนงอขึ้น ปลายค่อนข้างแหลม ด้านบนสีแดงอมม่วง ด้านล่างที่โคนกลีบสีซีด กลีบรวมใหญ่สีขาว ปลายสีเหลือง กลีบรวมเดี่ยวไม่มีสี เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียมีความยาวใกล้เคียงกันแต่เกสรตัวเมียสูงกว่าเล็กน้อย เกสรตัวเมียมีสีเหลือง ส่วนเกสรตัวผู้มีสีชมพู เครือหนึ่งมีประมาณ 7 หวี หวีหนึ่งมีประมาณ 14 ผล ผลค่อนข้างเล็ก กว้าง 2-3 เซนติเมตร ยาว 8-10 เซนติเมตร ก้านผลสั้นเปลือกค่อนข้างบาง เมื่อสุกมีสีเหลืองสดใส บางครั้งมีจุดดำเล็ก ๆ ประปราย เนื้อสีครีมอมส้ม รสหวาน

กล้วยไข่ปลูกกันมากเป็นการค้าที่จังหวัดกำแพงเพชร ตาก นครสวรรค์ เพชรบุรี และปลูกทั่ว ๆ ไปในสวนหลังบ้านในทุกภาคของประเทศไทย เพราะเป็นกล้วยที่รสชาติดี และใช้ในเทศกาลสารทไทย ผลรับประทานสด และเป็นเครื่องเคียงของข้าวเม่าคลุก และกระยาสารท นอกจากนี้ยังใช้ทำกล้วยเชื่อม ข้าวเม่าทอด และกล้วยบวชชี ปัจจุบันกล้วยไข่เป็นสินค้าออกที่ส่งไปยังประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่นและฮ่องกง



กล้วยไข่ทองร่วง ‘Kluai Khai Thoung Roung']

มีความสูงไม่เกิน 2.5-3.5 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางลำต้นน้อยกว่า 15 เซนติเมตร กาบลำต้นด้านนอกมีประดำปานกลาง พื้นด้านในมีสีแดงเรื่อ ๆ ปน ก้านใบเปิด มีสีแดงปนค่อนข้างชัดเจน

พู่ ก้านช่อดอกมีขนอ่อน ใบประดับรูปร่างค่อนข้างยาว ปลายแหลม ใบประดับม้วนขึ้น ด้านนอกสีม่วงแดง มีนวลปานกลาง ด้านในซีดเล็กน้อย กลีบรวมเดี่ยวใสและมีรอยย่น ส่วนกลีบรวมใหญ่สีครีม ปลายสีเหลือง ผลมีขนาดเล็กใกล้เคียงกับกล้วยไข่ เมื่อสุกมีผิวสีเหลือง ก้านช่อดอกมีขน เครือชี้ออกทางด้านข้าง เครือหนึ่งมีมากกว่า 7 หวี หวีหนึ่งมี 10-16 ผล น้ำหนักผลหนักประมาณ 87 กรัม มีรสหวาน เมื่อสุกเต็มที่ผลมักร่วง



กล้วยเล็บมือนาง ‘Kluai Leb Mu Nang' ชื่ออื่น ๆ กล้วยข้าว . กล้วยเล็บมือ ( สุราษฎร์ธานี ): กล้วยทองดอกหมาก ( พัทลุง ) กล้วยหมาก ( นครศรีธรรมราช )

กล้วยเล็บมือนางมีลำต้นสูงเทียมไม่เกิน 2.5 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 15 เซนติเมตร กาบลำต้นด้านนอกสีชมพูอมแดง มีประดำหนา ด้านในสีชมพูอมแดง ก้านในสีชมพูอมแดง ใบตั้งขึ้น มีร่องกว้าง มีปีก เส้นใบสีชมพูอมแดง ก้านช่อดอกมีขน ใบประดับรูปไข่ค่อนค้างยาว ม้วนงอขึ้นปลายแหลม ด้านบนสีแดงอมม่วง ด้านล่างสีแดงซีด ดอกตัวผู้หลุดร่วงไปหลังจากใบประดับร่วง ดอกตัวผู้มีสีครีม ดอกตัวเมียสีชมพูอ่อน ปลายสีเหลือง ก้านเกสรตัวเมียตรง เกสรตัวผู้มีความยาวกว่าเกสรตัวเมีย กลีบรวมใหญ่มีสีเหลืองอ่อน ปลายสีเหลือง กลีบรวมเดี่ยวใสไม่มีสี ปลายหยัก เครือชี้ออกทางด้านข้าง เครือหนึ่งมี 7-8 หวี หวีหนึ่งมี 10-16 ผล ผลเล็ก กว้าง 2-2.5 เซนติเมตร รูปโค้งงอปลายเรียวยาว ก้านผลสั้น เปลือกหนา เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง และยังมีก้านเกสรตัวเมียติดอยู่ กลิ่นหอม เนื้อในสีเหลือง รสหวาน

กล้วยเล็บมือนางนิยมปลูกในแถบภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดชุมพร ปัจจุบันปลูกทั่ว ๆ ไปในสวนหลังบ้าน เพราะเป็นกล้วยที่มีรสชาติดีชนิดหนึ่ง

กล้วยหอมจันทร์ ‘Kluai Homchan'

กล้วยหอมจันทร์มีลำต้นเทียมสูง 2.5-3.5 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 15 เซนติเมตร กาบลำต้นด้านนอกสีชมพูอมแดง มีประดำเล็กน้อย ด้านในสีชมพูอมแดง ก้านใบสีชมพูอมแดง ตั้งขึ้น มีร่องกว้าง มีปีก เส้นใบสีชมพูอมแดง ก้านช่อดอกมีขน ใบประดับรูปไข่ค่อนค้างยาวม้วนงอขึ้น ปลายแหลม ด้านบนสีแดงอมม่วง ด้านล่างสีแดงซีด เครื่องหนึ่งมีประมาณ 7 หวี หวีหนึ่งมีประมาณ 14 ผล ผลเล็ก กว้าง 2-2.5 เซนติเมตร ยาว 9-11 เซนติเมตร รูปคล้ายกล้วยเล็บมือนาง แต่ปลายผลไม่เรียวแหลม มีจุกสั้นเมื่อเทียบกับขนาดของผล ก้านผลสั้น เปลือกหนากว่ากล้วยเล็บมือนาง เมื่อสุกมีสีเหลืองคล้ายกัน กลิ่นหอมเย็น เนื้อสีเหลือง รสหวาน

กล้วยหอมจันทร์ปลูกทางภาคเหนือ ส่วนใหญ่ปลูกในสวนหลังบ้าน และปลูกเป็นการค้าทางภาคใต้



กล้วยไล ‘Kluai Lai'

ลำต้นเทียมมีความสูงประมาณ 2.5-3.5 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 15 เซนติเมตร ลำต้นมีประดำปานกลาง มีไขปานกลาง กาบลำต้นด้านในมีสีชมพูปน ก้านใบเปิดกว้างมีปีกเล็กน้อยและมีสีเขียว ปนชมพู เส้นก้านใบสีเขียว ก้านช่อดอกมีขน เครืออกชี้ทางด้านข้าง ส่วนปลีห้อยลง ปลีมีใบประดับรูปไข่ยาว ปลายแหลม มีสีม่วงเข้ม ไม่มีไข ปลายม้วนขึ้น เครือหนึ่งมีน้อยกว่า 7 หวี หวีหนึ่งมี 10-16 ผล ผลขนาดเล็ก ผลเมื่อสุกมีสีส้มอมเหลือง รสหวาน



กล้วยสา ‘Kluai Sa'

ลำต้นเทียมมีความสูงประมาณ 2.5-3.5 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 15 เซนติเมตร ลำต้นเทียมด้านนอกสีเขียวเข้มมีจุดดำประน้ำตาลเข้มมากและมีนวลปานกลาง ด้านในสีออกชมพู ก้านใบมีนวลมากมีสีม่วงแดงเข้ม ทั้งด้านล่างและขอบใบ ก้านช่อดอกมีขน ใบประดับมีรูปไข่ รูปร่างยาวปลายแหลม เครือห้อยลง เครือหนึ่งมีมากกว่า 8 หวี หวีหนึ่งมี 18-22 ผล ผลมีขนาดเล็ก กว้างประมาณ 3 เซนติเมตร ยาวประมาณ 9 เซนติเมตร ผลหนึ่งหนัก 80-90 กรัม



กล้วยทองขี้แมง ‘Thong Khi Meew'

ลำต้นเทียมมีความสูงประมาณ 2.5-3.0 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 15 เซนติเมตร ลำต้นเทียมด้านนอกสีเขียวเข้มมีจุดประสีน้ำตาลเข้มจำนวนมาก และมีนวลมาก ด้านในสีออกชมพู ก้านใบมีสีเขียวมีปีกสีชมพู ก้านช่อดอกมีขน ปลีมีใบประดับรูปไข่ยาว ปลายแหลม และม้วนขึ้น ใบประดับมีสีแดงเทาไม่มีไข กลีบรวมใหญ่สีขาว ปลายสีเหลือง กลีบรวมเดี่ยวใสไม่มีสี ดอกตัวผู้และตัวเมียมี ใบประดับมีรูปร่างเรียวยาว ปลายแหลม ด้านในสีซีด ดอกตัวเมียมีความสูงมากกว่าดอกตัวผู้ เครือกล้วยชี้ไปทางด้านข้างรวมทั้งปลี เครือหนึ่งมี 7 หวี หวี หนึ่งมี 10-16 ผล ผลเมื่อสุกมีสีเหลืองอมส้ม มีเมล็ด



กล้วยทองกาบดำ ‘Kluai Thong Kab Dam'

ลำต้นเทียมมีความสูง 2.5-3.5 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 15 เซนติเมตร มีประดำปานกลาง กาบลำต้นด้านในมีสีชมพู ก้านใบมีปีกและมีสีชมพู เส้นกลางใบสีเขียว ก้านช่อดอกมีขนเล็กน้อย เครือออกทางด้านข้างขนานกับพื้นดินรวมทั้งปลีด้วย ก้านเครือมีขน ปลีมีรูปไข่ยาว ปลายแหลม มีไขปานกลาง สีม่วงเข้ม ปลีม้วนขึ้น เครือหนึ่งมี 7-8 หวี หวีหนึ่งมีผลไม่เกิน 16 ผล ผลสุกสีเหลืองอมส้ม ผลมีขนาดไม่ใหญ่



กล้วยน้ำไท ‘Klaui Nam Thai'

กล้วยน้ำไทมีลำต้นเทียมสูงไม่เกิน 2.5 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 15 เซนติเมตร กาบลำต้นด้านนอกมีประดำหนา ที่โคนมีสีชมพูอมแดง ด้านในสีชมพูอมแดง ก้านใบตั้งขึ้น มีร่องกว้าง มีปีกสีชมพู เส้นใบสีชมพูอมแดง ก้านช่อดอกมีขน ใบประดับรูปไข่ค่อนข้างยาวม้วนงอขึ้น ปลายแหลม ด้านบนสีม่วงอมแดง ด้านล่างสีซีด เครือหนึ่งมีประมาณ 5 หวี หวีหนึ่งมี 12-18 ผล ผลคล้ายกล้วยหอมจันทร์ ขนาดใกล้เคียงกัน กว้าง 2 –2.05 เซนติเมตร ยาว 10-11 เซนติเมตร ผลไม่งอโค้งเท่ากล้วยหอมจันทร์ มีหัวจุกใหญ่แต่เล็กกว่าหอมจันทร์ ที่ปลายจุกมักมีก้านเกสรตัวเมียติดอยู่ เปลือกหนากว่าหอมจันทร์ มีกลิ่นหอมเย็น เมื่อสุกสีเหลืองเข้มกว่ากล้วยหอมจันทร์และมีจุดดำเล็ก ๆ คล้ายจุดของกล้วยไข่ กลิ่นหอม เนื้อสีเหลืองส้ม รสหวาน



กล้วยน้ำนม ‘Klaui Nam Nom'

ลำต้นเทียมมีความสูงน้อยกว่า 2.5 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 15 เซนติเมตร กาบลำต้นด้านในสีเขียว มีไขมาก ก้านใบมีปีกเป็นสีชมพูเล็กน้อย เส้นกลางใบสีเขียว เครือออกขนานกับพื้นดินส่วนปลีห้อยลง ก้านเครือมีขน ปลีมีใบประดับรูปไข่ยาว สีแดงอ่อน ปลายแหลม มีไขปานกลาง ใบประดับม้วนขึ้น เครือหนึ่งมีน้อยกว่า 7 หวี หวีหนึ่งมี ประมาณ 10 ผล



กล้วยหอมสั้น ‘Kluai Hom Son'

ลำต้นเทียมมีความสูงน้อยกว่า 2.5 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 15 เซนติเมตร ลำต้นมีประดำและไขปานกลาง กาบลำต้นด้านในมีสีชมพู ก้านใบมีปีกเป็นสีชมพู เส้นกลางใบสีเขียว เครือออกทางด้านข้างขนานกับดินรวมทั้งปลีด้วย ก้านช่อดอกมีขนเล็กน้อย ปลีมีใบประดับรูปไข่ยาว ปลายแหลม สีม่วงเข้ม ปลายม้วนขึ้น เครือหนึ่งมีน้อยกว่า 7 หวี หวีหนึ่งมี 10-16 ผล ผลสุกมีสีเหลืองอมส้ม มีขนาดใกล้เคียงกับกล้วยน้ำว้าแต่รูปร่างเหมือนกล้วยไข่ รสหวาน

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เครื่องบินลำแรก

ออร์วิลและวิลเบอร์ ไรท์ เป็นบุตรของเสมียนในเมือง เล็กๆ ชื่อเดตันในรัฐโอไฮโอ วิลเบอร์ ไรท์ ผู้เป็นพี่ชายเกิดในปี1867 ส่วนออร์วิล คนน้องเกิดในปี 1871 ทั้งสองมีแรงบันดาลใจเกี่ยวกับเรื่องการบินตั้งแต่ได้รับของขวัญเป็นเครื่องร่อนเล็กๆ ซึ่งสองคนพี่น้องนึกแปลกใจว่าเครื่องร่อนนั้นบินได้อย่างไร ต่อมาในปี 1895 หลังจากที่ทั้งคู่จบการศึกษาและร่วมกันเปิดร้านซ่อมจักรยานนั้น พี่น้องคู่นี้ได้อ่านบทความที่เขียนโดยนักสร้างเครื่องร่อนชาวเยอรมัน ชื่อ ออตโต ลิเลียนทาล บทความนี้ทำให้เขาประหลาดใจเหมือนเมื่อสมัยเขาทั้งสองเป็นเด็ก จึ่งตัดสินใจที่จะสร้างเครื่องยนต์ที่บินได้และบรรมทุกคนได้ด้วย หลังจากที่ทั้งสองพี่น้องได้ศึกษาและทดลองถึงการลอยตัวของว่าวและเครื่องร่อนจนรู้สาเหตุแล้วจึ่งได้สร้างเครื่องร่อนขนาดใหญ่พอที่จะบรรทุกคน ขึ้นไปได้หนึ่งคนเป็นครั้งแรกและให้ชื่อมันว่า คิตตี้ ฮอร์ก โดยทำการทดลองร่อนที่เนินเขาในรัฐคาโรไลนาเหนือที่มีลมแรง การทดลองประสบผลสำเร็จ ทั้งคู่จึงสร้างเครื่องร่อนขึ้นอีกหลายลำและเพิ่มระยะทางบินให้มากขึ้น ในปี ค.ศ. 1902 ทั้งคู่คิดค้นหาวิธีที่จะทำให้เครื่องร่อนบินได้ไกลและมีประสิทธิ ภาพขึ้น โดยคิดที่จะใส่เครื่องยนต์ให้กับเครื่องร่อนนั้น พอปลายปี 1903 เครื่องบินลำแรกของโลกก็ได้ถูกสร้างขึ้นโดยวิลเบอร์ และออร์วิล เอาเครื่อง ยนต์ขนาด 12 แรงม้า ใส่เข้ากับเครื่องร่อนคิตตี้ โอร์ค ซึ่งใช้หมุนใบพัด 2 ข้าง และตั้งชื่อให้มันว่า ฟลายเออร์ โดยวิลเบอร์เป็นผู้ทดลองขึ้นบินเป็น คนแรก ในการทดลองบินครั้งแรกนั้น ฟลายเออร์ยกตัวลอยขึ้นจากพื้นดิน หมุนไปรอบๆ แล้วตกลงพื้นดิน ต้องเสียเวลาซ่อม 2 วัน ทั้งคู่จึ่งทำการทด ลองต่อไปใหม่ โดยคราวนี้ออร์วิล เป็นผู้อยู่บนเครื่องเขาพยายามบินอีกครั้ง ฟลายเออร์ลอยขึ้นสูงจากพื้นดิน 3เมตร ใช้ความเร็ว 48 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และบินไปได้ไกลถึง 36 เมตร พี้น้องตระกูลไรท์ได้ทำการทดลองบินอีกในเช้าวันต่อมาจนกระทั่งลมกรรโชกทำให้เครื่องพลิกคว่ำแล้วพังไป เขาจึงกลับไปทำงานที่ร้านจักรยานต่อ และทำการทดลองอีกครั้งในปี ค.ศ.1905 โดยสร้างเครื่องบินอีก 3 ลำ และทำการบินได้ครึ่งชั่วโมงในแต่ละครั้ง น่าประหลาดใจที่ไม่มีใครแสดงความสนใจในสิ่งที่พวกเขาทำมากนัก เพียงไม่กี่คนที่เฝ่ากูเขาทำการบิน ไม่มีแม้แต่การรายงานข่าวในหนังสือพิมพ์ คนทั่วไปไม่คิดว่าการบิน จะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ในปี
ค.ศ.1908 เขาได้ทำการบินต่อหน้าสาธารณชน โดยมีผู้โดยสารขึ้นไปคนหนึ่งบินไปเกือนบครึ่งชั่วโมง และกลายเป็นผู้มีชื่อเสียง เขา ได้ทำการสาธิตการบินทั้งในยุโรปและอเมริกาใน ปี 1909 ทั้งคู่เป็นวีรยุรุษของปวงชนแทนที่จะเป็นช่างซ่อมจักรยานที่ไม่มีใครรู้จัก เขาได้ตั้งโรงงานผลิตเครื่อง บินและได้รับความสำเร็จในทันที ออร์วิลและวิลเบอร์ได้รับชัยชนะที่งดงามด้วยกัน จนกระทั่งปี ค.ศ.1912 วิลเบอร์เป็นไข้ไทฟอยด์และถึงแก่กรรม

วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

สุวรรณภูมิที่รอคอย..........ในที่สุดก็ได้.........





และแล้วพวกเราที่เเสนจะโชคดีก็ได้เดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิแล้วค่ะ
การออกเดินทางเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 เวลาประมาณ 08.00 น. อยากบอกว่าอากาศดีมากๆ ฝนตกแต่เช้าเลย แต่ทุกๆคนก็มากันอย่างตั้งอกตั้งใจ เพราะอยากจะไปเที่ยวกัน ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง เมื่อไปถึงอาจารย์ก็ปล่อยให้เดินหาคำศัพท์ จิ๊บๆ 150 คำ ตามอัธยาศัย แอบบอกนิดเถอะ อาหารที่สนามบินแพงมากๆ มากกว่าข้างนอกหลายเท่าเลยค่ะ เพราะฉะนั้นะเป็นการดีมากถ้าเรานำมาเอง แต่ที่นี้ชาวต่างชาติเยอะมากๆทั้งเข้าและออก มีคนไทยบ้างแต่ไม่มากเท่าไหร่ พอเวลาประมาณ 13.15 น. เป็นเวลาที่อาจารย์นัดเอาไว้ที่ ประตูทางเข้า-ออก หมายเลข 10 ชั้น 4 เมื่อเจ้าหน้าที่ทางสนามบินมาร่วมกันแล้ว พวกเราก็ได้รับบัตรอนุญาตผ่านเข้าไปเดินชมด้านใน (บัตรมีมูลค่า 1,000 บาท ถ้าเราทำหาย)หลังจากนั้นทางเจาหน้าที่ก็อธิบายความเป็นมาของสนามบินเล็กน้อย พาเดินไปดูจอมอนิเตอร์สายการบิน เที่ยวบิน เวลาลงจอด เเละพาเข้าไปดูด้านใน ไปในส่วนที่คนภายนอกเข้าไม่ได้พร้อมทั้งอธิบายอย่างละเอียดมากๆ เป็นกันเองอย่างมากด้วย เมื่อเดินชมกันเสร็จเรียบร้อยจนถึงเวลาเดินทางกลับก็ประมาณ 16.30 น. ทางคณะอาจาร์ยก็ได้กล่าวขอบคุณและมอบของฝากเล็กๆน้อย กับทางเจ้าหน้าที่ที่อำนวยความสะดวกและมอบความรู้มากมายแก่พวกเราอีกด้วย

วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

หายหน้าไปนาน......กลับมาแก้ตัวอีกครั้ง

หายหน้าไปนานน้าน ไม่ได้ไปไหนเลย...แต่ติดต่อกับใครแทบจะไม่ได้...

ปิดภาคเรียนมีเเต่เรื่องยุ่งๆกับที่บ้านมากมายเหลือเกิน
เหนื่อยสุดๆไปเลย
มีเรื่องมากมายแถมคอมที่รักดันมาเจ็งอีก

ซ่อมไปหลายตั้งมากๆกระเป๋าหนูฉีกไปแล้ว กินแกลบทั้งเดือนเลยที่นี้
ก็แผงวงจรตัวเดียวเเต่ทั้งแผงใหม้หมดเกลี้ยง
เอาเปลี่ยนแผงตัวเดียว 1500 โจะแย่งแมวกินอยู่เเล้ว
ยังไม่รวมอื่นๆอีก

สรุปหมดตัวไปกับคอมมากอยู่เหมือนกัน
วุ่นวายมากๆที่บ้านมีปัญหา
อากาศเปลี่ยนแม่ก็ป่วย
ความดันขึ้นต้องนอนโรงพยาบาลอีก น้องก็ไม่สบาย พี่สาวก็เพิ่งหายไข้
ประสาทเราแทบแตก เฮ้อ.....
ปกติอัพเเต่เรื่องมีสาระ วันนี้หายหน้าไปนานเลย กลับมาอัพเรื่องไร้สาระเลย

นานๆทีละกัน เอาเป็นว่าเเล้วจะกลับมาอัพเรื่องดีๆๆมีประโยนช์ไว้เเบ่งปันกันอีกนะค่ะ

วันนี้พอแค่นี้ก่อนไปละค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2552

เล่าสู่กันฟัง

วันนี้เป็นวันที่ 12 เดือน มีนาคม พ.ศ.2552 เนืองจากที่ผ่านมามักจะอัพแต่บทความทีดี และมีสาระความรู้มากมายมาโดยตลอด พูดเหมือนต่อไปนี้จะไม่ทำแบบนั้นอีก เปล่าค่ะ ไม่ใช่เเต่มางวันนี้เราจะมาเล่าเรื่องราวจริงที่เกือบจะมีสาระมาให้เพื่อยๆได้อ่านคลายเคียด หรืออ่านแล้วเครียดกว่าเดมก็ไม่รู้ (เอะชักยังงัย)ค่ะเอาเป็นว่า วันนี้ตัวดิฉันและก้ครอบครัวไปเทียวมาค่ะ ไปทำบุญกันที่จังหวัดสุพรรณบุรี แหมมันเปรี้ยวปากอยากเล่าให้ฟัง ซึ่งความจริงก็ไม่มีอะไรมากมายเลย เพราะที่บ้านไม่ค่อยว่างตรงกัน นานๆจะได้ออกไปพร้อมๆกันบ้าง เริ่มจากการเดินทาง ตีประมาณ ตี 5 คุณแม่ท่านรีบจริงเลย ไม่รู้จะรีบไปไหน เลยออกมาเป็นแบบนี้

หลานชายออกจากบ้านแบบว่ายังไม่ตื่นเต็มตัว ต้องนอนกินนมไปแบบที่เห็น น่าเห้นใจแกมหมั้นใส้ว่าไหมค่ะ
มาค่ะเราเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงที่หมาย ลืมบอกไปค่ะเราจะไปวัด สมอลม เป้นวัดที่กำลังพัฒนาและก็กำลังจะสร้างเจดีย์ สร้างกุฏิพระ เพราะทางวัดเป็นแค่วัดเล็กๆ ยังมะค่อยมีผู้คนรู้จักมากมายอะไรค่ะ พอไปถึงสิ่งเเรกที่เจอตรงที่จอดรถก็คือ แต้น แต้น แท่น.......


น้องควายตัวเล็กไปนิดเนี้ยะแหละค่ะ เชื่องมากเลยค่ะ คงเพราะชินกับผู้คนละมั้งค่ะ แต่ดูๆก็น่ารักดีเหมือนกันนะค่ะเล่นกับน้องความยนิดหน่อย หลังจากนั้นก็ไปถวายอาหาร+ผลไม้ ก็เสร็ดสิ้นค่ะ ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่นานๆเราครอบครัวจะได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตามีความสุขมากๆค่ะ