วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552


อาหารหน้าร้อน

การรับประทานอาหารไม่ว่าจะเป็นฤดูกาลใดก็ตามรับประทานอาหารที่ให้พลังงานมากนั่น คือ อาหารไขมัน ในทางตรงกันข้ามหน้าร้อนเราไม่ต้องการพลังงานเพื่อสร้างความร้อนมาก เราจึงต้องได้รับครบทั้ง 5 หมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีนไขมัน ผลไม้ / ผักสด น้ำ และเกลือแร่ หากมีความแตกต่างในปริมาณของแต่ละหมู่ตามสภาพของอากาศ เช่น อากาศเย็นหรือหน้าหนาวเราต้องการพลังงานมาก เราจึงต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน และจากการเสียเหงื่อเพื่อระบายความร้อน เราจึงต้องทดแทนด้วยน้ำและเกลือแร่ อาหารที่เรารับประทานกันมากในหน้าร้อน จึงมักเป็นแกงส้ม ต้มยำ ต้มโคล้งหรือยำประเภทต่าง ๆ ขนมหวานมักเป็นผลไม้ลอยแก้วที่ไม่มีกะทิ

โรคที่มากับหน้าร้อนส่วนใหญ่จะเป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหร เพราะว่าอุณหภูมิในหน้าร้อนเ ป็นอุณหภูมิที่เชื้อโรคชอบเป็นพิเศษ และเจริญเติบโตได้รวดเร็ว อาหารที่ปรุงเสร็จแล้วถ้าไม่เก็บให้ถูกต้องจะเสียเร็ว โดยเฉพาะอาหารที่ใช้กะทิเป็นส่วนประกอบ ไม่ใช่แต่อาหารที่ปรุงเสร็จแล้วอย่างเดียว อาหารสดก็เช่นกันจะเสียเร็วกว่าปกติ เพราะอาหารสดส่วนใหญ่จะต้องเก็บในอุณหภมิที่ต่ำ นอกจากอาหารแล้วหน้าร้อนนี้เครื่องดื่มก็สำคัญ โดยเฉพาะน้ำแข็ง ยิ่งร้อนมากเท่าไรยิ่งอยากทานน้ำแข็งมากขึ้นเท่านั้น น้ำที่นำมาทำน้ำแข็งหรือภาชนะที่บรรจุอาจไม่สะอาด อาการอีกอย่างที่ชอบ เกิดในหน้าร้อนก็คือ อาการเบื่ออาหาร เวลาอากาศร้อนมาก ๆ จะทำให้คนเราเบื่ออาหาร ทานไม่ลง ทานไม่เป็นเวลา ทานอาหารผิดประเภท

วิธีแก้ไขง่าย ๆ มีดังนี้
- ทำน้ำแข็งเองจากน้ำต้มหรือน้ำกรอง
- ไม่ควรเก็บกับข้าวไว้นอกตู้เย็น
- อาหารสดต้องเก็บในตู้เย็น ควรล้างให้สะอาดก่อนเก็บในตู้เย็น เพราะความเย็นไม่ได้ฆ่าเชื้อ เพียงแต่ยับยั้ง การ
เจริญเติบโตของเชื้อโรคเท่านั้น
- พยายามกินอาหารให้ตรงเวลา
- อุปกรณ์ที่ใช้ในการปอกหรือหั่นอาหารที่จะกินสด ๆ หรือต้มสุกแล้ว ต้องล้างให้สะอาด และเก็บในภาชนะที่
สะอาดปราศจาก แมลงต่าง ๆ ที่เป็นพาหนะของเชื้อโรค
- เนื้อสัตว์ที่รับประทานไม่ควรเป็นชนิดที่สุก ๆ ดิบ ๆ
- กินอาหารให้ครบ 5 หมู่
- ล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังรับประทานอาหารทุกมื้อ
- น้ำมะตูม เป็นเครื่องดื่มโบราณที่นิยมดื่มกินในหน้าร้อน เพราะนอกจากจะมีกลิ่นหอมชื่นใจ ช่วยแก้กระหายแล้ว
ยังมีสรรพคุณ ในการทำลายเชื้อแบคทีเรียบางชนิดที่ทำให้เกิดโรคท้องร่วง
- น้ำยาอุทัยที่เคยนิยมเหยาะใส่น้ำเย็นดื่มแล้วชื่นใจ มีสรรพคุณเช่นเดียวกับน้ำมะตูม

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

นักสู้

มนัส บุญจำนงค์

สิบเอก มนัส บุญจำนงค์ เป็นนักชกมวยสากลสมัครเล่นเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก จากการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2004 ที่ประเทศกรีซ นับเป็นชาวไทยคนที่ 5 ที่ได้รับเหรียญทองโอลิมปิก และเป็นนักมวยสากลสมัครเล่นคนที่ 3 ต่อจากสมรักษ์ คำสิงห์ และวิจารณ์ พลฤทธิ์มนัสได้เหรียญทองจากกีฬาโอลิมปิก 1 เหรียญทอง เอเชียนเกมส์ 1 เหรียญทอง และซีเกมส์ 2 เหรียญทอง และหนึ่งเหรียญทองแดงจากการแข่งขัน มวยสากลสมัครเล่นชิงแชมป์โลกที่จัดขึ้นที่กรุงเทพในปี 2546

ประวัติ
มนัส บุญจำนงค์ มีชื่อเล่นว่า “เติ้ล” เกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2523 ที่จังหวัดราชบุรี เป็นบุตรของนายมโนและนางมาลี บุญจำนงค์ มีน้องชายอีก 2 คนคือ มานนท์ (นนท์ บุญจำนงค์) และ พันธนินทร์ ทั้งสามพี่น้องหัดชกมวยมาตั้งแต่สมัยเด็กมีภรรยาคือนางพจนีย์ บุญจำนงค์ และมีบุตรด้วยกัน 3 คน ภายหลังจากได้เหรียญทองโอลิมปิกปี 2004 มนัสได้มีปัญหากับภรรยา และแยกทางกันเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2549


โอลิมปิก 2004
มนัสลงแข่งขันในรุ่นไลท์เวลเตอร์เวท (64 กิโลกรัม) ในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2004 ที่เมืองเอเธนส์ ประเทศกรีซ เส้นทางสู่เหรียญทองของมนัสคือ
* รอบ 8 คนสุดท้าย: 22 สิงหาคม พ.ศ. 2547 ชนะวิลลี เบรน จากฝรั่งเศส 20-8 หมัด

* รอบรองชนะเลิศ: 27 สิงหาคม พ.ศ. 2547 ชนะไอโอนัท จอร์จี นักชกโรมาเนีย
* รอบชิงชนะเลิศ: 28 สิงหาคม พ.ศ. 2547 ชนะยูได เซเดอโน่ จอห์นสัน จากคิวบา 17-11 หมัด [3]
มนัสเป็นคนไทยคนที่สามที่ได้เหรียญทองจากการแข่งขันโอลิมปิกครั้งนี้ โดยก่อนหน้า อุดมพร พลศักดิ์ และ ปวีณา ทองสุก นักยกน้ำหนักหญิงทีมชาติไทยได้คว้าเหรียญทองไปแล้ว


เอเชี่ยนเกมส์ 2006
หลังจากมนัสได้เหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ ก็ประสบปัญหาครอบครัวและติดการพนัน ทำให้ไม่เข้าซ้อมชกมวยบ่อยครั้ง ก่อนจะกลับตัวได้และลงแข่งขันเอเชียนเกมส์ 2006 ที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2549 โดยเอาชนะชิน เมียง ฮุน จากเกาหลีใต้ 22-11 หมัด ในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งก่อนหน้านี้ทางสมาคมมวยสากลสมัครเล่นได้ส่งมนัสเดินทางไปเก็บตัวที่ประเทศคิวบาเพียง คนเดียวนานถึง 3 เดือน กับโค้ช ฮวน ฟอนตาเนียล ซึ่งก็ทำให้มนัสได้เป็นนักมวยสากลสมัครเล่นไทยเพียงคนเดียวที่ได้เหรียญทอง ในการแข่งขันครั้งนี้


โอลิมปิก 2008
มนัสกลับมาแข่งขันโอลิมปิกเป็นครั้งที่สอง ในรุ่นเดิม โดยเส้นทางการชกเป็นดังนี้
* รอบ 16 คนสุดท้าย (14 สิงหาคม พ.ศ. 2551): ชนะ มาซาซึกุ คาวาชิ ( ธงของประเทศญี่ปุ่น ญี่ปุ่น ) 8-1

* รอบ 8 คนสุดท้าย (17 สิงหาคม พ.ศ. 2551): ชนะ เซริค ซาพิเยฟ ( ธงของประเทศคาซัคสถาน คาซัคสถาน ) 7-5
* รอบรองชนะเลิศ (22 สิงหาคม พ.ศ. 2551): ชนะ โรเนียล อิกเลเซียส โซโตลองโก ( ธงของประเทศคิวบา คิวบา ) 10-5
* รอบชิงชนะเลิศ (23 สิงหาคม พ.ศ. 2551): พบ เฟลิกซ์ ดิแอซ (ธงของสาธารณรัฐโดมินิกัน สาธารณรัฐโดมินิกัน)
มนัสเป็นนักกีฬาไทยคนแรก ที่สามารถคว้าเหรียญจากการแข่งขันโอลิมปิกสองสมัยติดต่อกัน

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

มีเคล็ดลับดีๆในการอ่านหนังสือมาบอกเพื่อนเพราะใกล้สอบแล้ว


4 ขั้นตอน การจัดตารางการอ่านหนังสือ


1. เลือกเวลาที่เหมาะสมเวลาที่เหมาะสมหมายความว่า เวลาที่เราต้องการจะอ่าน เวลาที่ว่างจากงานอื่น เวลาที่อยากจะอ่านหนังสือ หรือเป็นเวลาที่อ่านแล้วได้เนื้อหามากที่สุด เข้าใจมากที่สุด เวลาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนชอบอ่านตอนเช้าตรู่ บางคนชอบอ่านตอนกลางคืนก่อนนอน บางคนชอบอ่านเวลากลางวัน แล้วแต่การจัดสรรเวลาของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน เราต้องเลือกดูเวลาที่เหมาะสมของตัวเอง การจัดเวลาต้องให้ได้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง วันนึงถ้าอ่านหนังสือแค่วันละ 2 ชั่วโมงน้อยมาก


2. วางลำดับวิชาและเนื้อหาขั้นตอนต่อมา คือ เลือกวิชาที่จะอ่าน มีหลักง่ายๆ คือ เอาวิชาที่ชอบก่อน เพื่อให้เราอ่านได้เยอะๆ และอ่านได้เร็ว ควรเลือกเรื่องที่ชอบอ่านก่อนเป็นอันดับแรก จะได้มีกำลังใจอ่านเนื้อหาอื่นต่อไป ไม่แนะนำวิชาที่ยาก และเนื้อหาที่ไม่ชอบ เพราะจะทำให้เสียเวลาเปล่า การอ่านหนังสือควรอ่านให้ได้ตามที่เราวางแผนเอาไว้ วิธีการก็คือ List รายการหรือเนื้อหา บทที่จะอ่านให้หมด จากนั้นค่อยเลือกลำดับเนื้อหาว่าจะอ่านเรื่องใดก่อนหลัง แล้วค่อยลงมืออ่าน


3. ลงมือทำยังไง ถ้าไม่มีข้อนี้ก็ไม่มีทางสำเร็จ การลงมือทำคือการลงมืออ่านอย่างจริงจัง อย่าผัดวันประกันพรุ่ง อย่าฝากอนาคตของตัวเองไว้กับความขี้เกียจของวันนี้ บางคนลงมือทำ แต่ไม่จริงจัง ก็ไม่ได้นะ ขอให้นึกถึงชาวนาแล้วกัน ถ้าลงมือทำนาเริ่มตั้งแต่หว่าน ไถ แล้วทิ้งค้างไว้แต่ไม่ทำให้สำเร็จ ไม่ดูแลจนกระทั่งเก็บเกี่ยว หรือทิ้งไว้ไม่เก็บเกี่ยว การทำนาก็จะไม่สำเร็จ เราก็จะไม่มีข้าวกิน ดังนั้น ขอใหเพื่อนๆ “ทำอะไร ทำจริง” แล้วทำให้ได้จริงๆ


4. ตรวจสอบผลงานผลของการอ่าน ดูได้จากว่า ทำข้อสอบได้หรือไม่ ถ้าอ่านแล้วทำข้อสอบได้ ก็แสดงว่าอ่านรู้เรื่อง อ่านเข้าใจ ได้เนื้อหาจริงๆ แต่ถ้าอ่านแล้วทำข้อสอบไม่ได้ ก็ต้องกลับไปทบทวนใหม่ เราขอแนะนำว่า อ่านแล้วต้องจดบันทึกไว้ด้วยนะ จะได้รู้ว่า เราอ่านไปถึงไหนแล้ว และอ่านไปได้เนื้อหาอะไรบ้าง การจดบันทึก ก็คือการทำโน้ตย่อนั่นแหละ ทำสรุปไว้เลยว่าอ่านอะไรไปแล้วบ้าง เก็บไว้ให้มากที่สุด จะได้เป็นผลงานของตัวเอง เก็บไว้อ่านเมื่อต้องการ เก็บไว้อ่านตอนใกล้สอบ


เคล็ดลับ 13 ประการ เพื่อ การเรียน อย่างมี ประสิทธิภาพ


1. รับผิดชอบ - รับผิดชอบตนเอง ไม่ยืมจมูกคนอื่นหายใจ เป็นผู้ชนะจากความสามารถของตน


2. เริ่มต้นดี - ช่วงเดือนแรกในรั้วมหาวิทยาลัย ถือเป็นช่วงวิกฤตของน้องใหม่ หากเริ่มต้นดี ความสำเร็วจะไม่อยู่ไกลเกินเอื้อม


3. กำหนดเป้าหมายในการเรียนอย่างแน่วแน่ - กำหนดเป้าหมายในการเรียนให้ชัดเจน ทั้งระยะสั้นและระยะยาว และทุ่มเทความพยายามให้บรรลุเป้าหมายนั้น


4. วางแผน และจัดการ - มีการวางแผน จัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมที่ต้องทำ หากทำตารางเวลาเป็นรายสัปดาห์ได้ยิ่งดี


5. มีวินัยต่อตนเอง - เมื่อกำหนดเป้าหมาย วางแผน และจัดการ ตามข้อ 4 และ 5 แล้วต้องสัญญากับตนเองอย่างแน่วแน่ที่จะมีวินัย และปฏิบัติตาม


6. อย่าล้าสมัย - วิทยาการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การค้นคว้าหาความรู้ ต้องอิงกับข้อมูลที่ทันสมัย ทันเหตุการณ์


7. ฝึกฝนตนเองให้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ - ศึกษาข้อเสนอแนะในคู่มือเล่มนี้ และฝึกทักษะการเรียนรู้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ติดตัวตลอดไป


8. เตรียมพร้อมเพื่อเข้าสู่ชั้นเรียน - เตรียมตัวเป็นผู้ใฝ่หาความรู้อย่างแข็งขัน หากเป็นไปได้เตรียมอ่านเอกสารที่จะเรียนมาก่อนเข้าห้องเรียน


9. มุ่งมั้น จดจ่อต่อบทเรียน - มีสมาธิ สนใจ ตั้งใจ เวลาอาจารย์สอน ไม่เข้าเรียนเพื่อพูดคุยกัน ซังกะตาม รอเวลาเลิกชั้น


10. เป็นตัวของตัวเอง - รู้จักคิดและทำ ด้วยความสามารถของตนเองคิดเสมอว่าเราเป็นผู้หนึ่งที่มีศักยภาพสูง


11. มีความกระตือรือล้น - ความสำเร็จเป็นของผู้ที่มีความริเริ่ม เป็นฝ่ายรุกที่จะมุ่งหน้า และคว้าความสำเร็จเป็นของตน


12. มีสุขภาพดี - อย่าลืมใส่ใจต่อสุขภาพร่างกาย กิจกรรมนันทนาการ และกิจกรรมสังคม วางแผนจัดเวลาต่อสิ่งเหล่านี้ให้พอเหมาะ


13. เรียนอย่างมีความสุข - พยายามเก็บเกี่ยวความน่าสนใจในบทเรียน คิดเสมอว่าทุกวิชาน่าเรียนรู้ น่าสนุกทั้งนั้น แล้วท่านจะพบว่า เราก็เรียนอย่างมีความสุขได้

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

มารู้จักอาหารมังสวิรัติกันเถอะ

อาหารมังสวิรัติ
อาหารมังสวิรัติ คืออาหาร จำพวกผัก และผลไม้ ซึ่งทำให้ได้รับกากใยอาหารซึ่งช่วยในการขับถ่ายกากอาหารออกจากร่างกายได้ดี นิยมในคนวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ เนื่องจากมักจะมีปัญหาเรื่องอาการท้องผูก และมี ปัญหาเรื่องไขมันในเส้นเลือดสูงแล้ว อาหารมังสวิรัตินั้นจะไม่มีเนื้อสัตว์เลย เนื่องจากในเนื้อสัตว์มักจะมีไขมัน และน้ำมันจากสัตว์ปะปนอยู่ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้ปริมาณ
คอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้น และอาจเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ เช่นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคอื่นๆ
คำว่ามังสวิรัตินั้นเป็นคำสมาสมาจากคำว่า มังสะ แปลว่า เนื้อ รวมกับ วิรัติ แปลว่า ปราศจากความยินดีหรือละเว้น ดังนั้น มังสวิรัติจึงแปลว่า ปราศจากความยินดีที่จะกินเนื้อสัตว์
อาหารที่พวกมังสวิรัตินิยมรับประทานกันส่วนใหญ่จะประกอบด้วยข้าว และผลิตภัณฑ์จากข้าว หรือผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ หรือเมล็ด เช่น เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น
อาหารมังสวิรัตินั้นแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ
1. มังสวิรัติประเภทเคร่งครัด เป็นมังสวิรัติที่กินอาหารจำพวกพืชผักผลไม้เพียงอย่างเดียว ไม่มีอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ไข่ นม หรือ ผลิตภัณฑ์จากไข่และนม เป็นส่วนประกอบของอาหารนั้นๆเลย
2. มังสวิรัติประเภทที่มีการดื่มนม เป็นมังสวิรัติที่จะมีนมและผลิตภัณฑ์ของนมนอกเหนือจากพืชผักผลไม้ แต่ไม่มีเนื้อสัตว์และไข่เป็นส่วนประกอบของอาหาร
3. มังสวิรัติประเภทดื่มนมและกินไข่ อาหารมังสวิรัติประเภทนี้มีไข่ นม และผลิตภัณฑ์ของนมนอกเหนือจากอาหารจากพืช แต่ไม่มีเนื้อสัตว์เลย
จะเห็นได้ว่า มังสวิรัติทั้ง 3 ประเภทนี้ จะไม่มีอาหารหรือส่วนประกอบที่มาจากเนื้อสัตว์เลย แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีเนื้อสัตว์เลย แต่ก็มิได้หมายความว่าจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารประเภทโปรตีน แต่คนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติสามารถได้รับสารอาหารประเภทโปรตีนจากอาหารจำพวกถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วลิสง เป็นต้น
ส่วนใหญ่ พบว่า ผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง มะเร็ง เบาหวาน และอ้วน ผลการวิจัยทั้งในและต่างประเทศ พบผู้ที่เป็นมีงสวิรัติเคร่งครัดมีภาวะพร่องของ วิตามินบี 12 และแร่ธาตุเหล็ก โดยเฉพาะที่เป็นมังสวิรัติเคร่งครัดเป็นเวลานาน ๆ และการมีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็ก

วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552


15 ผักและผลไม้ที่ผิวหน้าต้องการ

ว่านหางจระเข้บำรุงผิว ป้องกันฝ้า ลบรอยจุดด่างดำ รักษาสิว

แตงกวาช่วยสมานผิว ลบรอยเหี่ยววววว ย่น

มะเขือเทศช่ายสมานผิว ลบรอยเหี่ยววววว ย่นและจุดด่างดำ

ขมิ้นสดบำรุงผิวหน้าผุดผ่องสดใสอ่อนวัย และช่วยให้สิวยุบเร็ว

กล้วยน้ำว้าสุกบำรุงผิวนุ่มเนียนอ่อนวัย

หัวไชเท้าช่วยลดรอยฝ้าและกระให้จางหาย

ใบบัวบกลดรอยตีนกา

มะขามเปียกบำรุงผิวหน้าขาวเนียน ลดรอยฝ้าจุดด่างดำ ชำระสิ่งสกปรก

กล้วยหอมลดรอยเหี่ยววววว ย่น

ถนอมผิวหน้าให้ชุ่มชื่นทุเรียนลดปัญหาสิวเสี้ยน

มะนาวลดสีเข้มของกระบนใบหน้ามะม่วงสุกแก้ปัญหาฝ้าและสิว

มะเขือเทศรักษาสิวหัวดำ ป้องกันรูขุมขนอุดตัน ทำความสะอาดผิวหน้า

สับปะรดบำรุงผิวหน้าขาวใส และช่วยขจัดเซลล์ตาย ให้หลุดออก

แตงโมบำรุงผิวหน้าชุ่มชื่นสดใส