วันนี้เป็นวันที่ 12 เดือน มีนาคม พ.ศ.2552 เนืองจากที่ผ่านมามักจะอัพแต่บทความทีดี และมีสาระความรู้มากมายมาโดยตลอด พูดเหมือนต่อไปนี้จะไม่ทำแบบนั้นอีก เปล่าค่ะ ไม่ใช่เเต่มางวันนี้เราจะมาเล่าเรื่องราวจริงที่เกือบจะมีสาระมาให้เพื่อยๆได้อ่านคลายเคียด หรืออ่านแล้วเครียดกว่าเดมก็ไม่รู้ (เอะชักยังงัย)ค่ะเอาเป็นว่า วันนี้ตัวดิฉันและก้ครอบครัวไปเทียวมาค่ะ ไปทำบุญกันที่จังหวัดสุพรรณบุรี แหมมันเปรี้ยวปากอยากเล่าให้ฟัง ซึ่งความจริงก็ไม่มีอะไรมากมายเลย เพราะที่บ้านไม่ค่อยว่างตรงกัน นานๆจะได้ออกไปพร้อมๆกันบ้าง เริ่มจากการเดินทาง ตีประมาณ ตี 5 คุณแม่ท่านรีบจริงเลย ไม่รู้จะรีบไปไหน เลยออกมาเป็นแบบนี้
หลานชายออกจากบ้านแบบว่ายังไม่ตื่นเต็มตัว ต้องนอนกินนมไปแบบที่เห็น น่าเห้นใจแกมหมั้นใส้ว่าไหมค่ะ
มาค่ะเราเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงที่หมาย ลืมบอกไปค่ะเราจะไปวัด สมอลม เป้นวัดที่กำลังพัฒนาและก็กำลังจะสร้างเจดีย์ สร้างกุฏิพระ เพราะทางวัดเป็นแค่วัดเล็กๆ ยังมะค่อยมีผู้คนรู้จักมากมายอะไรค่ะ พอไปถึงสิ่งเเรกที่เจอตรงที่จอดรถก็คือ แต้น แต้น แท่น.......
น้องควายตัวเล็กไปนิดเนี้ยะแหละค่ะ เชื่องมากเลยค่ะ คงเพราะชินกับผู้คนละมั้งค่ะ แต่ดูๆก็น่ารักดีเหมือนกันนะค่ะเล่นกับน้องความยนิดหน่อย หลังจากนั้นก็ไปถวายอาหาร+ผลไม้ ก็เสร็ดสิ้นค่ะ ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่นานๆเราครอบครัวจะได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตามีความสุขมากๆค่ะ
วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2552
คนเกิดปีมะแม
ปีมะแม
GOAT
แพะน้อยแสนนุ่มนวล
ลักษณะเฉพาะ
เป็นศิลปิน โรแมนติก น่ารัก ช่างฝัน ชอบทำอะไรแบบนุ่มนวลค่อยเป็นค่อยไป
จุดเด่น
ปีมะแม คือสัญลักษณ์แห่งความใจบุญตามราศีแบบจีน มีทักษะและความรับผิดชอบสูง ชื่นชอบความสมบูรณ์แบบ และมักคาดหวังว่าผู้อื่นและตนเองจะไร้ที่ติ
จุดอ่อน
เมื่อผิดหวังจะโอดครวญ ไม่ค่อยรู้กาลเทศะ
คู่รักที่เหมาะสม
ปีเถาะ ปีกุน หรือปีมะเมีย
ผู้เกิดปีมะแมนั้นสง่างาม มีเสน่ห์ เป็นศิลปิน มีพรสวรรค์ และรักธรรมชาติ นอกจากนั้นยังมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าบรรดาผู้เกิดปีอื่นๆ ความนุ่มนวล มารยาทงดงาม และเสน่ห์ทำให้มีคนมาหลงรัก และชื่นชอบมากมาย
ผู้เกิดปีนี้ไม่ค่อยมั่นใจ ต้องการความรักความคุ้มครองตลอดเวลา ไม่ชอบเผชิญหน้า ไม่ชอบตัดสินใจเรื่องหนักๆ และมักปฏิเสธที่จะอยู่ข้างที่มีแววว่าจะแพ้เอาดื้อๆ เมื่อยามมีข้อขัดแย้งกัน
คนเกิดปีมะแมเป็นคนช่างฝัน แต่บ่างครั้งก็มองโลกในแง่ร้าย ลังเล กังวล วิตกจริตมากไป คนเกิดปีนี้ค่อนข้างขี้เกียจ ดังนั้นหากสบโอกาสก็พร้อมจะยอมแต่งงานกับคนร่ำรวย เพื่อความสะดวกสบายของตนเอง นอกจากชาวปีมะแมยังหมกมุ่นกับรูปลักษณ์ของตนเอง ด้วยคิดว่ารูปลักษณ์ภายนอกส่งผลต่อความมั่นคงทางจิตใจ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มั่นใจว่าตัวเองดูดี ชาวมะแมก็จะไม่ยอมออกจากบ้านไปไหนเด็ดขาด
เนื่องจากเป็นพวกไม่กล้าตัดสินใจเด็ดขาด คนเกิดปีมะแมจึงชอบศึกษาเรื่องลี้ลับเพื่อตนเองจะได้รอบรู้เกี่ยวกับเรื่องที่ไม่มีใครรู้เหล่านั้น (หาข้อมูลให้ทั่วว่างั้นเถอะ) นอกจากนั้นยังชอบอ่านหนังสือเรื่องโหราศาสตร์ และโชคชะตาราศี จึงไม่น่าแปลกใจที่คุณจะพบหมอดูที่เกิดปีมะแมอยู่บ่อยๆ
คนเกิดปีนี้เป็นคนไม่มีระเบียบ ดังนั้นจึงไม่เหมาะที่จะทำธุรกิจ โดยควรหันมาเป็นช่างฝีมือ ศิลปิน หรือนักเขียน อาชีพใดๆ ก็ตามที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะทางศิลปะ
คนเกิดปีมะแมเป็นคนโรแมนติก อ่อนไหว อ่อนหวาน และเป็นที่รักของผู้อื่น เมื่ออยู่ในความสัมพันธ์ คนเกิดปีนี้อาจจะเจ้ากี้เจ้าการและขี้เกียจไปบ้าง แต่เนื่องจากเป็นคนนุ่มนวล และช่างเอาใจ จึงทำให้ใครๆ ก็ติดกับเสน่ห์ถอนตัวไม่ขึ้นอยู่เสมอ คู่ที่เหมาะสมที่สุดคือคนเกิดปีกุน รองลงมาคือปีมะเมียหรือมะโรง ที่พอเข้ากันได้บ้างคือปีวอก มะเส็งหรือจอ ปีต้องห้ามคือ ปีชวด ฉลู ระกา ขาล หรือมะแมด้วยกัน
บ้านเปี่ยมทรัพย์
เพื่อความสุขและความสำเร็จ บ้านของคนปีมะแม ควรเป็นบ้านที่สะสมงานศิลปะ ไม่ว่าจะเป็น ภาพวาด ภาพถ่าย ภาพวิวทิวทัศน์ งานหล่อ งานปั้น งานแกะสลัก หนังสือ ซีดีเพลง ดีวีดีภาพยนตร์ ฯลฯ ล้วนถูกโฉลกและนำโชคดีมาสู่คนปีมะแม และถ้าผลงานศิลปะเหล่านั้น เป็นฝีมือของเจ้าของบ้านด้วยแล้ว จะยิ่งถูกโฉลกและโชคดีเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
ความรัก
ใครที่เคยเห็นแพะเป็นสัตว์ที่เซื่อง แต่เอามาเปรียบกับคนที่เกิดปีแพะไม่ได้หรอกนะ เขาและเธอช่างเฮงเสียเหลือเกินในเรื่องความรัก มีความโดดเด่นมากกว่าเรื่องงาน และการเงินอย่างเหลือเชื่อ หนุ่มสาวที่เกิดปีนี้ พวกเขาต่างมีอารมณ์โรเเมนติก สุนทรีย์ในเรื่องความรักเป็นอย่างยิ่ง มีอารมณ์อย่างล้นเหลือ จึงไม่น่าแปลกใจ ที่พวกเขามีความคิดไปไกลเป็นพิเศษ เพราะเพียงเริ่มมีความรัก เขาก็ฝันไปถึงสวรรค์ชั้นเจ็ดเลยทีเดียว ชาวแพะรักใครชอบใครก็มักหลงใหลใฝ่ฝันเลยทีเดียว ชอบพร่ำเพ้อละเมอหา ชนิดที่เรียกว่าคลั่งรัก คนเกิดปีนี้พิสูจน์ได้ในสัจธรรมที่ว่าความรักทำให้คนตาบอดได้ชัดเจน การที่ทุ่มเทความรักให้คนอื่นมากมายเช่นนี้ เวลาที่เขาผิดหวัง คนปีแพะจึงต้องทรมานเป็นนานแสนนานกว่าจะหาย ดูเหมือนหัวใจของคนเกิดปีแพะ จะเป็นหัวใจสะออน เพราะแม้จะเจ็บปางตายจากความรัก แต่เขาก็ไม่เคยเข็ดอะไรหรอก พอรักใครก็จะทุ่มเทอีหรอบเก่า จนอาจถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนที่เกิดปีนี้กว่าจะเจอคู่แท้ ก็ต้องใช้เวลานานพอควร จนหัวใจเริ่มชินนั่นแหละ และเมื่อเจอคู่แท้แล้ว มักเป็นคู่ที่อุปถัมภ์ค้ำจุนกันดีนักแล
GOAT
แพะน้อยแสนนุ่มนวล
ลักษณะเฉพาะ
เป็นศิลปิน โรแมนติก น่ารัก ช่างฝัน ชอบทำอะไรแบบนุ่มนวลค่อยเป็นค่อยไป
จุดเด่น
ปีมะแม คือสัญลักษณ์แห่งความใจบุญตามราศีแบบจีน มีทักษะและความรับผิดชอบสูง ชื่นชอบความสมบูรณ์แบบ และมักคาดหวังว่าผู้อื่นและตนเองจะไร้ที่ติ
จุดอ่อน
เมื่อผิดหวังจะโอดครวญ ไม่ค่อยรู้กาลเทศะ
คู่รักที่เหมาะสม
ปีเถาะ ปีกุน หรือปีมะเมีย
ผู้เกิดปีมะแมนั้นสง่างาม มีเสน่ห์ เป็นศิลปิน มีพรสวรรค์ และรักธรรมชาติ นอกจากนั้นยังมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าบรรดาผู้เกิดปีอื่นๆ ความนุ่มนวล มารยาทงดงาม และเสน่ห์ทำให้มีคนมาหลงรัก และชื่นชอบมากมาย
ผู้เกิดปีนี้ไม่ค่อยมั่นใจ ต้องการความรักความคุ้มครองตลอดเวลา ไม่ชอบเผชิญหน้า ไม่ชอบตัดสินใจเรื่องหนักๆ และมักปฏิเสธที่จะอยู่ข้างที่มีแววว่าจะแพ้เอาดื้อๆ เมื่อยามมีข้อขัดแย้งกัน
คนเกิดปีมะแมเป็นคนช่างฝัน แต่บ่างครั้งก็มองโลกในแง่ร้าย ลังเล กังวล วิตกจริตมากไป คนเกิดปีนี้ค่อนข้างขี้เกียจ ดังนั้นหากสบโอกาสก็พร้อมจะยอมแต่งงานกับคนร่ำรวย เพื่อความสะดวกสบายของตนเอง นอกจากชาวปีมะแมยังหมกมุ่นกับรูปลักษณ์ของตนเอง ด้วยคิดว่ารูปลักษณ์ภายนอกส่งผลต่อความมั่นคงทางจิตใจ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มั่นใจว่าตัวเองดูดี ชาวมะแมก็จะไม่ยอมออกจากบ้านไปไหนเด็ดขาด
เนื่องจากเป็นพวกไม่กล้าตัดสินใจเด็ดขาด คนเกิดปีมะแมจึงชอบศึกษาเรื่องลี้ลับเพื่อตนเองจะได้รอบรู้เกี่ยวกับเรื่องที่ไม่มีใครรู้เหล่านั้น (หาข้อมูลให้ทั่วว่างั้นเถอะ) นอกจากนั้นยังชอบอ่านหนังสือเรื่องโหราศาสตร์ และโชคชะตาราศี จึงไม่น่าแปลกใจที่คุณจะพบหมอดูที่เกิดปีมะแมอยู่บ่อยๆ
คนเกิดปีนี้เป็นคนไม่มีระเบียบ ดังนั้นจึงไม่เหมาะที่จะทำธุรกิจ โดยควรหันมาเป็นช่างฝีมือ ศิลปิน หรือนักเขียน อาชีพใดๆ ก็ตามที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะทางศิลปะ
คนเกิดปีมะแมเป็นคนโรแมนติก อ่อนไหว อ่อนหวาน และเป็นที่รักของผู้อื่น เมื่ออยู่ในความสัมพันธ์ คนเกิดปีนี้อาจจะเจ้ากี้เจ้าการและขี้เกียจไปบ้าง แต่เนื่องจากเป็นคนนุ่มนวล และช่างเอาใจ จึงทำให้ใครๆ ก็ติดกับเสน่ห์ถอนตัวไม่ขึ้นอยู่เสมอ คู่ที่เหมาะสมที่สุดคือคนเกิดปีกุน รองลงมาคือปีมะเมียหรือมะโรง ที่พอเข้ากันได้บ้างคือปีวอก มะเส็งหรือจอ ปีต้องห้ามคือ ปีชวด ฉลู ระกา ขาล หรือมะแมด้วยกัน
บ้านเปี่ยมทรัพย์
เพื่อความสุขและความสำเร็จ บ้านของคนปีมะแม ควรเป็นบ้านที่สะสมงานศิลปะ ไม่ว่าจะเป็น ภาพวาด ภาพถ่าย ภาพวิวทิวทัศน์ งานหล่อ งานปั้น งานแกะสลัก หนังสือ ซีดีเพลง ดีวีดีภาพยนตร์ ฯลฯ ล้วนถูกโฉลกและนำโชคดีมาสู่คนปีมะแม และถ้าผลงานศิลปะเหล่านั้น เป็นฝีมือของเจ้าของบ้านด้วยแล้ว จะยิ่งถูกโฉลกและโชคดีเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
ความรัก
ใครที่เคยเห็นแพะเป็นสัตว์ที่เซื่อง แต่เอามาเปรียบกับคนที่เกิดปีแพะไม่ได้หรอกนะ เขาและเธอช่างเฮงเสียเหลือเกินในเรื่องความรัก มีความโดดเด่นมากกว่าเรื่องงาน และการเงินอย่างเหลือเชื่อ หนุ่มสาวที่เกิดปีนี้ พวกเขาต่างมีอารมณ์โรเเมนติก สุนทรีย์ในเรื่องความรักเป็นอย่างยิ่ง มีอารมณ์อย่างล้นเหลือ จึงไม่น่าแปลกใจ ที่พวกเขามีความคิดไปไกลเป็นพิเศษ เพราะเพียงเริ่มมีความรัก เขาก็ฝันไปถึงสวรรค์ชั้นเจ็ดเลยทีเดียว ชาวแพะรักใครชอบใครก็มักหลงใหลใฝ่ฝันเลยทีเดียว ชอบพร่ำเพ้อละเมอหา ชนิดที่เรียกว่าคลั่งรัก คนเกิดปีนี้พิสูจน์ได้ในสัจธรรมที่ว่าความรักทำให้คนตาบอดได้ชัดเจน การที่ทุ่มเทความรักให้คนอื่นมากมายเช่นนี้ เวลาที่เขาผิดหวัง คนปีแพะจึงต้องทรมานเป็นนานแสนนานกว่าจะหาย ดูเหมือนหัวใจของคนเกิดปีแพะ จะเป็นหัวใจสะออน เพราะแม้จะเจ็บปางตายจากความรัก แต่เขาก็ไม่เคยเข็ดอะไรหรอก พอรักใครก็จะทุ่มเทอีหรอบเก่า จนอาจถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนที่เกิดปีนี้กว่าจะเจอคู่แท้ ก็ต้องใช้เวลานานพอควร จนหัวใจเริ่มชินนั่นแหละ และเมื่อเจอคู่แท้แล้ว มักเป็นคู่ที่อุปถัมภ์ค้ำจุนกันดีนักแล
วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2552
ชีวจิต
ชีวจิต เป็นแนวความคิดต่อเรื่องสุขภาพแบบองค์รวม( Holistic) คือผนวกรวมเอา " ชีว" ที่หมายถึง " กาย" รวมเข้ากับ " จิต" ที่หมายถึง " ใจ" ให้เป็นสองภาคของชีวิตที่มีผลต่อกันและกันโดยตรง ไม่อาจแยกกายออกจากจิต และจิตย่อมกระทบถึงกายเช่นเดียวกัน ความหมาย และการปฏิบัติตัวตามแนวทางของชีวจิต จึงอาจอธิบายได้ว่า คนเราจะมีความสุขความแข็งแรงได้ก็ต่อเมื่อ กายและใจทำงาน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Wholeness as Perfection)
การใช้ชีวิตให้เป็นไปตามธรรมชาติ บริสุทธิ์ละเรียบง่าย เป็นแก่นความคิดสำคัญอีกประการหนึ่งของชีวจิต ใช้ชีวิตในที่นี้หมายรวมถึง การบริโภคอาหารสุขภาพที่มาจากธรรมชาติและมีการดัดแปลงน้อยที่สุด รวมถึงการบริโภคผลิตภัณฑ์ใดๆ ที่มาจากธรรมชาติ หรือใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด เพื่อให้ชีวิตหลุดพ้นจากความยุ่งเหยิงวุ่นวายของสังคมแบบวัตถุนิยมในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคสมัยใหม่นานัปการ
แนบเนื่องกับแนวปฎิบัติทางร่างกาย ต้องมีการปฏิบัติทางใจควบคู่ไปด้วย เป้าหมายของการฝึกจิตใจ เป็นไปเพื่อความสงบ เกิดปัญญา มองเห็นสัจธรรมของโลกและชีวิต ทั้งนี้การใช้ชีวิตและจิตใจให้เป็นไปตามแนวทางของชีวจิตไม่ใช่เรื่องยุ่งยากซับซ้อน ตรงข้ามกลับ เป็นความพยายามทำชีวิตให้เรีบบง่ายที่สุด แจ่มใสและมีความกลมกลืนกับธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้สุขภาพ เกิดความสมดุล และกระตุ้นให้ ภูมิชีวิต (Immune System) ที่เป็นเกราะคุ้มกันสุขภาพตามธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน ทำงานได้อย่าง เต็ม ประสิทธิภาพ การจะตรวจสอบว่าตัวเองดำเนินชีวิตได้ใกล้เคียงกับแนวชีวจิตเพียงใด หรือบกพร่องไปเพียงใดนั้น อาจทดสอบได้จาก หลักการของ FASJAMM ซึ่งว่าด้วยรูปแบบและอาการต่างๆทางกายและจิต ที่ทำให้บุคคลนั้นๆ มีสุขภาพกายและจิตแตกต่างกันไป จึงอาจพูดได้ว่า เมื่อระวังรักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอตามแนวคิดของชีวจิต ภูมิชีวิตซึ่งเป็นหมอภายในร่างกายของมนุษย์ ก็ย่อมทำงาน ได้เต็มหน้าที่ เป็นเครื่องป้องกันด่านแรกที่คุ้มกันเราจากโรคทั้งปวง แต่เมื่อใดก็ตามหากเกิดเหตุสุดวิสัย มีโรคภัยไข้เจ็บ เกิดกับร่างกาย การรักษาตามแนวทางของชีวจิต ยังคงยึดหลักของการเยียวยาแบบองค์รวม เช่นเดียวกับการป้องกันในเบื้องต้น วิธีบำบัดหลักๆของชีวจิต ได้ผสมผสานองค์ความรู้และวิธีการต่างๆ ดังต่อไปนี้
ใช้ธรรมชาติเป็นยา
ใช้อาหารเป็นยา
ใช้แนวทางการแพทย์แบบผสมผสาน
แผนปัจจุบัน Conventional , Orthodox , Allopathic
Wholistic (Holistic)
Macrobiotics
แบบจีนและการฝังเข็ม
อายุรเวทและโยคะ
สมุนไพร
การนวดกดจุด การนวดฝ่าเท้า และบริหารโดอิน
การบริหารและการออกกำลัง (ใช้แบบผสมผสาน)
โดอิน / โยคะ / นวดกดจุด
การยืด ส่ง และดัน
Chiropractic
การรำตะบอง
แต่ก่อนจะถึงมือแพทย์ หรือลงมือรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือกใดๆก็ตาม หนทางที่ดีที่สุดในการดูแลสุขภาพ ตามแนวชีวจิต ก็คือการป้องกันสุขภาพไว้แต่ต้นมือ โดยให้สอดแทรกอยู่ในวิถีชีวิตแต่ละวันนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกรับประทานอาหารชีวจิต การกระตุ้นให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า แก้อาการอ่อนเพลียด้วย น้ำอาร์ซี ซึ่งมีส่วนผสมของกลูโคส DNA/RNA และวิตามินแร่ธาตุ จากธรรมชาติ การบริโภค น้ำเอนไซม์ ที่คั้นจากผักและผลไม้สดๆที่จะช่วยบำรุงระบบต่างๆของชีวิตให้ทำงานได้ดีขึ้น รวมไปถึงการขจัดพิษ (TOXIN) ซึ่งเกิดจากเชื้อโรค สิ่งแปลกปลอม มลภาวะต่างๆ จากสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่จาก ความเครียดที่สะสมชีวิต ประจำวัน ให้บรรเทาเบาบางไปจากร่างกายด้วยการล้างพิษ หรือเรียกง่ายๆ ว่าการทำ " ดีท็อกซ์" ( DETOXIFICATION) เมื่อพิษต่างๆ ลดลง ก็จะทำให้ระบบภูมิชีวิตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องควบคุมไม่ให้เกิดการสะสมใหม่เพิ่มมากขึ้นอีก ท้ายที่สุด อุดมการณ์ของชีวจิตหาใช่เรื่องที่ปฏิบัติได้ยากเย็นแต่อย่างใด สิ่งที่อยู่เหนือไปกว่าหลักปฏิบัติทั้งปวง ล้วนแต่เป็นเรื่องของวิธีการคิด ซึ่งยืนอยู่บนหลักการ 5 ข้อ คือ ชีวิตที่ยึดเอาธรรมชาติเป็นหลัก , ชีวิตที่มีความพอดีและเรียบง่าย , ชีวิตที่เป็นไปเพื่อความเป็นเลิศ ของสุขภาพกาย-ใจ , ชีวิตที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกันและรักกันฉันพี่น้อง และ ชีวิตที่ดำเนินไปเพื่อสร้างสังคมที่ยุติธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบ เพียงปฏิบัติได้ตามหลักการเหล่านี้ก็เท่ากับเข้าใจแนวคิดของชีวจิตอย่างถ่องแท้แล้ว
คุณแน่ใจเหรอว่ารู้จัก “ อาหาร ” ดีแล้ว ?
ใช่ คุณกินอาหารอยู่ทุกวัน แต่ถ้าคุณแค่รู้จักอาหารในฐานะ Food อย่าง หมูหัน เป็ดปักกิ่ง ข้าวมันไก่ เท่านั้น ก็นับว่าความรู้เรื่องอาหารของคุณ ยังน้อยมากนะ
ข้าว ปลา หมูเห็ดเป็ดไก่ คือ อาหาร ( Food) ต่อเมื่อมันยังไม่ถูกส่งเข้าปากเรา แต่พอคุณกินเข้าไปแล้ว อาหารเหล่านี้จะถูกกระบวนการย่อย เปลี่ยนสภาพของอาหารตั้งแต่อยู่ในปากและเคลื่อนจากปากสู่กระเพาะ จากกระเพาะสู่ลำไส้เล็ก ที่ลำไส้เล็กนี่เองที่อาหาร จะเปลี่ยนสภาพ จากอาหาร ( Food) เป็น Nutrient อย่างสมบูรณ์ แล้วก็อาหารในฐานะ Nutrient หรือ “ สารอาหาร ” นี่แหละ ที่มีหน้าที่บำรุงเลี้ยงร่างกาย ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย และเป็นยารักษาโรคด้วย
ประโยชน์ของอาหารตรงนี้เองที่ตรงตามที่ ฮิปโปเครติส บิดาของวงการแพทย์กล่าวไว้เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้วว่า
“ เจ้ากินอะไรเข้าไป เจ้าก็เป็นอย่างนั้น ” You are what you eat ถ้าเรากินสิ่งที่ดีมีประโยชน์เข้าไป ร่างกายของเราก็ดีตามถ้ากินของเน่า (แต่อร่อย) ร่างกายก็เน่า ( เจ็บป่วย) ตามไปด้วย เพราะอาหารที่ไม่ดี (ซึ่งชีวจิตแนะนำให้งด) เมื่อเข้าสู่ร่างกายปริมาณมากๆเกินพอดี ก็จะกลายสภาพเป็น ท็อกซิน - Toxin ในที่สุดทีนี้เมื่อท็อกซินหรือสารพิษสะสมในร่างกายนานๆเข้า ก็จะขัดขวางการทำงานของ ภูมิชีวิต และเป็นสาเหตุให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆนั่นเอง
เหมือนอย่างที่คนสมัยนี้ใช้ “ ลิ้น ” เป็นเครื่องตัดสินคุณค่าของอาหาร คำนึงถึงแต่ความอร่อยมากเกินไป ลืมนึกถึงคุณประโยชน์ หรือโทษจาก อาหาร จะพบว่าเราต้องเจ็บป่วยกันด้วยโรคที่เกิดจากการกินอาหารผิดสัดส่วนเพิ่มขึ้นทุกที เห็นชัดๆก็อย่างเช่น
กินแป้ง น้ำตาล มากเกินไป เป็นเบาหวาน
กินเค็มเกินไป เป็นโรคไต
กินไขมันมากเกินไป เป็นไขมันอุดตันในเส้นเลือด
คราวนี้คุณพอจะรู้จัก “ อาหาร ” ที่กินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันได้กระจ่างขึ้นบ้างหรือยังล่ะ
อาหารชีวจิตเป็นแนวทางการรับประทานอาหารที่ ดร.สาทิส อินทรกำแหง ศึกษาและปรับปรุงจากหลักการของแมคโครไบโอติกส์ ให้เหมาะสมกับสภาพวิถีชีวิตของคนไทยและเมืองไทยและให้ง่ายต่อการจัดหา ปรุง และรับประทานกล่าวโดยรวมๆ อาหารชีวจิต คือ อาหารชั้นเดียว หมายถึง เป็นอาหารที่คงสภาพตามธรรมชาติเดิมไว้มากที่สุด ไม่ต้องผ่านการปรุงแต่งมากมาย และคงรสชาติเดิมๆของอาหารไว้มากที่สุด เช่นว่า
ข้าว ก็เพียงแค่กระเทาะเปลือกออกกลายเป็นข้าวกล้อง ไม่ต้องขัดสีจนขาวจั๊วะทั้งนี้ อาหารชีวจิตไม่เกี่ยวกับเรื่องความเชื่อหรือบาปบุญคุณโทษ แต่เป็นการนำความรู้ทางโภชนาการขั้นสูงมาพิจารณาอาหารต่างๆ แล้วเลือกสรร เฉพาะอาหารที่ให้คุณค่าแก่ร่างกายและจิตใจมากที่สุด ที่สำคัญเป็นอาหารที่ก่อให้เกิดสารพิษ "ท็อกซิน - Toxin" ตกค้างน้อยที่สุด
อาหารที่ชีวจิตแนะนำให้ " งด"
* เนื้อสัตว์ย่อยยาก ได้แก่ เนื้อ หมู ไก่
* แป้งขัดขาวและผลิตภัณฑ์จากแป้งขัดขาวทุกชนิด
* น้ำตาลฟอกขาวและผลิตภัณฑ์จากน้ำตาลฟอกขาวทุกชนิด
* ไขมันเลว คือไขมันอิ่มตัว ได้แก่ ไขมันจากสัตว์ น้ำมันปาล์ม และกะทิ
* และแนะนำให้รับประทานอาหารในแต่ละมื้อให้สมดุลตาม สูตรสัดส่วนอาหารชีวจิต
อย่างไรก็ตาม อาหารชีวจิตนั้นนอกจากคำนึงถึงคุณประโยชน์แล้ว ยังให้ความสำคัญกับความอร่อย และต้องน่ากินด้วย คือ ถึงแม้รสชาติจะไม่จัดจ้านเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด แต่เราเน้นความกลมกล่อมแบบพอดีๆ
ถ้าคุณยังนึกภาพเมนูอาหารชีวจิตไม่ได้ ลองดูที่ ครัวชีวจิต หรือตำราอาหารชีวจิต
ในหมู่ชาวชีวจิตเราพูดกันเสมอว่า การทำอาหารให้อร่อยนั้น ไม่ได้ยากเกินไป เพียงแต่ต้องใช้ฝีมือ ใช้ความรัก และความสนใจของแต่ละคน เรียกว่า " ทำและกินด้วยความรักและนับถือ"
ความรักนั้นคือ ความรักอาหาร และรักในการทำอาหาร มีความสนุกและเพลิดเพลินในการทำและกิน
ส่วนความนับถือนั้น เราต้องนับถือว่า อาหารนี้แหละคือสิ่งที่ให้ชีวิตแก่เรา และจะกลายเป็นเลือดเป็นเนื้อของเราเอง เราเป็นหนี้บุญคุณของอาหารอาหารประเภทแป้งซึ่งไม่ขัดขาว
เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ถ้าเป็นข้าวโพด จะเป็นข้าวโพดทั้งเมล็ดหรือทั้งฝัก และถ้าเป็นแป้งขนมปัง ก็เป็นขนมปังโฮลวีท และถ้าจะให้เป็นแป้งกลุ่มคอมเพล็กซ์ คาร์โบไฮเดรต คือเป็นแป้งหลายชั้นซึ่งมีโปรตีนปนอยู่ด้วย ก็ควรเติมมันเทศ มันฝรั่ง เผือก ฟักทองลงไป
กลุ่มนี้ รับประทาน 50% หรือครึ่งหนึ่งของแต่ละมื้อ ผัก
ใช้ทั้งผักดิบและผักปรุงสุกอย่างละครึ่ง ผักถ้าปลูกเอง ไม่ใช้สารเคมีจะดีที่สุด แต่ถ้าต้องซื้อจากตลาด ต้องเลือกผักที่ปลอดสาร ล้างผ่านน้ำ และแช่น้ำด่างทับทิมหรือแช่น้ำส้มสายชูเจือจางสัก 1-2 ชั่วโมง ก็จะช่วยล้างสารพิษได้ด้วย รับประทานผักหนึ่งในสี่หรือ 25% ของปริมาณอาหารที่กินในแต่ละมื้อ
ถั่วต่างๆ อยู่ในประเภทโปรตีน เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ โปรตีนเกษตร รับประทาน 15% ของแต่ละมื้อ นอกจากนี้ จะใช้โปรตีนจากสัตว์เป็นครั้งคราว คือ ไข่ ปลา และอาหารทะเล สัปดาห์ละ 1-2 มื้อ
การใช้ชีวิตให้เป็นไปตามธรรมชาติ บริสุทธิ์ละเรียบง่าย เป็นแก่นความคิดสำคัญอีกประการหนึ่งของชีวจิต ใช้ชีวิตในที่นี้หมายรวมถึง การบริโภคอาหารสุขภาพที่มาจากธรรมชาติและมีการดัดแปลงน้อยที่สุด รวมถึงการบริโภคผลิตภัณฑ์ใดๆ ที่มาจากธรรมชาติ หรือใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด เพื่อให้ชีวิตหลุดพ้นจากความยุ่งเหยิงวุ่นวายของสังคมแบบวัตถุนิยมในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคสมัยใหม่นานัปการ
แนบเนื่องกับแนวปฎิบัติทางร่างกาย ต้องมีการปฏิบัติทางใจควบคู่ไปด้วย เป้าหมายของการฝึกจิตใจ เป็นไปเพื่อความสงบ เกิดปัญญา มองเห็นสัจธรรมของโลกและชีวิต ทั้งนี้การใช้ชีวิตและจิตใจให้เป็นไปตามแนวทางของชีวจิตไม่ใช่เรื่องยุ่งยากซับซ้อน ตรงข้ามกลับ เป็นความพยายามทำชีวิตให้เรีบบง่ายที่สุด แจ่มใสและมีความกลมกลืนกับธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้สุขภาพ เกิดความสมดุล และกระตุ้นให้ ภูมิชีวิต (Immune System) ที่เป็นเกราะคุ้มกันสุขภาพตามธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน ทำงานได้อย่าง เต็ม ประสิทธิภาพ การจะตรวจสอบว่าตัวเองดำเนินชีวิตได้ใกล้เคียงกับแนวชีวจิตเพียงใด หรือบกพร่องไปเพียงใดนั้น อาจทดสอบได้จาก หลักการของ FASJAMM ซึ่งว่าด้วยรูปแบบและอาการต่างๆทางกายและจิต ที่ทำให้บุคคลนั้นๆ มีสุขภาพกายและจิตแตกต่างกันไป จึงอาจพูดได้ว่า เมื่อระวังรักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอตามแนวคิดของชีวจิต ภูมิชีวิตซึ่งเป็นหมอภายในร่างกายของมนุษย์ ก็ย่อมทำงาน ได้เต็มหน้าที่ เป็นเครื่องป้องกันด่านแรกที่คุ้มกันเราจากโรคทั้งปวง แต่เมื่อใดก็ตามหากเกิดเหตุสุดวิสัย มีโรคภัยไข้เจ็บ เกิดกับร่างกาย การรักษาตามแนวทางของชีวจิต ยังคงยึดหลักของการเยียวยาแบบองค์รวม เช่นเดียวกับการป้องกันในเบื้องต้น วิธีบำบัดหลักๆของชีวจิต ได้ผสมผสานองค์ความรู้และวิธีการต่างๆ ดังต่อไปนี้
ใช้ธรรมชาติเป็นยา
ใช้อาหารเป็นยา
ใช้แนวทางการแพทย์แบบผสมผสาน
แผนปัจจุบัน Conventional , Orthodox , Allopathic
Wholistic (Holistic)
Macrobiotics
แบบจีนและการฝังเข็ม
อายุรเวทและโยคะ
สมุนไพร
การนวดกดจุด การนวดฝ่าเท้า และบริหารโดอิน
การบริหารและการออกกำลัง (ใช้แบบผสมผสาน)
โดอิน / โยคะ / นวดกดจุด
การยืด ส่ง และดัน
Chiropractic
การรำตะบอง
แต่ก่อนจะถึงมือแพทย์ หรือลงมือรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือกใดๆก็ตาม หนทางที่ดีที่สุดในการดูแลสุขภาพ ตามแนวชีวจิต ก็คือการป้องกันสุขภาพไว้แต่ต้นมือ โดยให้สอดแทรกอยู่ในวิถีชีวิตแต่ละวันนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกรับประทานอาหารชีวจิต การกระตุ้นให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า แก้อาการอ่อนเพลียด้วย น้ำอาร์ซี ซึ่งมีส่วนผสมของกลูโคส DNA/RNA และวิตามินแร่ธาตุ จากธรรมชาติ การบริโภค น้ำเอนไซม์ ที่คั้นจากผักและผลไม้สดๆที่จะช่วยบำรุงระบบต่างๆของชีวิตให้ทำงานได้ดีขึ้น รวมไปถึงการขจัดพิษ (TOXIN) ซึ่งเกิดจากเชื้อโรค สิ่งแปลกปลอม มลภาวะต่างๆ จากสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่จาก ความเครียดที่สะสมชีวิต ประจำวัน ให้บรรเทาเบาบางไปจากร่างกายด้วยการล้างพิษ หรือเรียกง่ายๆ ว่าการทำ " ดีท็อกซ์" ( DETOXIFICATION) เมื่อพิษต่างๆ ลดลง ก็จะทำให้ระบบภูมิชีวิตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องควบคุมไม่ให้เกิดการสะสมใหม่เพิ่มมากขึ้นอีก ท้ายที่สุด อุดมการณ์ของชีวจิตหาใช่เรื่องที่ปฏิบัติได้ยากเย็นแต่อย่างใด สิ่งที่อยู่เหนือไปกว่าหลักปฏิบัติทั้งปวง ล้วนแต่เป็นเรื่องของวิธีการคิด ซึ่งยืนอยู่บนหลักการ 5 ข้อ คือ ชีวิตที่ยึดเอาธรรมชาติเป็นหลัก , ชีวิตที่มีความพอดีและเรียบง่าย , ชีวิตที่เป็นไปเพื่อความเป็นเลิศ ของสุขภาพกาย-ใจ , ชีวิตที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกันและรักกันฉันพี่น้อง และ ชีวิตที่ดำเนินไปเพื่อสร้างสังคมที่ยุติธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบ เพียงปฏิบัติได้ตามหลักการเหล่านี้ก็เท่ากับเข้าใจแนวคิดของชีวจิตอย่างถ่องแท้แล้ว
คุณแน่ใจเหรอว่ารู้จัก “ อาหาร ” ดีแล้ว ?
ใช่ คุณกินอาหารอยู่ทุกวัน แต่ถ้าคุณแค่รู้จักอาหารในฐานะ Food อย่าง หมูหัน เป็ดปักกิ่ง ข้าวมันไก่ เท่านั้น ก็นับว่าความรู้เรื่องอาหารของคุณ ยังน้อยมากนะ
ข้าว ปลา หมูเห็ดเป็ดไก่ คือ อาหาร ( Food) ต่อเมื่อมันยังไม่ถูกส่งเข้าปากเรา แต่พอคุณกินเข้าไปแล้ว อาหารเหล่านี้จะถูกกระบวนการย่อย เปลี่ยนสภาพของอาหารตั้งแต่อยู่ในปากและเคลื่อนจากปากสู่กระเพาะ จากกระเพาะสู่ลำไส้เล็ก ที่ลำไส้เล็กนี่เองที่อาหาร จะเปลี่ยนสภาพ จากอาหาร ( Food) เป็น Nutrient อย่างสมบูรณ์ แล้วก็อาหารในฐานะ Nutrient หรือ “ สารอาหาร ” นี่แหละ ที่มีหน้าที่บำรุงเลี้ยงร่างกาย ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย และเป็นยารักษาโรคด้วย
ประโยชน์ของอาหารตรงนี้เองที่ตรงตามที่ ฮิปโปเครติส บิดาของวงการแพทย์กล่าวไว้เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้วว่า
“ เจ้ากินอะไรเข้าไป เจ้าก็เป็นอย่างนั้น ” You are what you eat ถ้าเรากินสิ่งที่ดีมีประโยชน์เข้าไป ร่างกายของเราก็ดีตามถ้ากินของเน่า (แต่อร่อย) ร่างกายก็เน่า ( เจ็บป่วย) ตามไปด้วย เพราะอาหารที่ไม่ดี (ซึ่งชีวจิตแนะนำให้งด) เมื่อเข้าสู่ร่างกายปริมาณมากๆเกินพอดี ก็จะกลายสภาพเป็น ท็อกซิน - Toxin ในที่สุดทีนี้เมื่อท็อกซินหรือสารพิษสะสมในร่างกายนานๆเข้า ก็จะขัดขวางการทำงานของ ภูมิชีวิต และเป็นสาเหตุให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆนั่นเอง
เหมือนอย่างที่คนสมัยนี้ใช้ “ ลิ้น ” เป็นเครื่องตัดสินคุณค่าของอาหาร คำนึงถึงแต่ความอร่อยมากเกินไป ลืมนึกถึงคุณประโยชน์ หรือโทษจาก อาหาร จะพบว่าเราต้องเจ็บป่วยกันด้วยโรคที่เกิดจากการกินอาหารผิดสัดส่วนเพิ่มขึ้นทุกที เห็นชัดๆก็อย่างเช่น
กินแป้ง น้ำตาล มากเกินไป เป็นเบาหวาน
กินเค็มเกินไป เป็นโรคไต
กินไขมันมากเกินไป เป็นไขมันอุดตันในเส้นเลือด
คราวนี้คุณพอจะรู้จัก “ อาหาร ” ที่กินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันได้กระจ่างขึ้นบ้างหรือยังล่ะ
อาหารชีวจิตเป็นแนวทางการรับประทานอาหารที่ ดร.สาทิส อินทรกำแหง ศึกษาและปรับปรุงจากหลักการของแมคโครไบโอติกส์ ให้เหมาะสมกับสภาพวิถีชีวิตของคนไทยและเมืองไทยและให้ง่ายต่อการจัดหา ปรุง และรับประทานกล่าวโดยรวมๆ อาหารชีวจิต คือ อาหารชั้นเดียว หมายถึง เป็นอาหารที่คงสภาพตามธรรมชาติเดิมไว้มากที่สุด ไม่ต้องผ่านการปรุงแต่งมากมาย และคงรสชาติเดิมๆของอาหารไว้มากที่สุด เช่นว่า
ข้าว ก็เพียงแค่กระเทาะเปลือกออกกลายเป็นข้าวกล้อง ไม่ต้องขัดสีจนขาวจั๊วะทั้งนี้ อาหารชีวจิตไม่เกี่ยวกับเรื่องความเชื่อหรือบาปบุญคุณโทษ แต่เป็นการนำความรู้ทางโภชนาการขั้นสูงมาพิจารณาอาหารต่างๆ แล้วเลือกสรร เฉพาะอาหารที่ให้คุณค่าแก่ร่างกายและจิตใจมากที่สุด ที่สำคัญเป็นอาหารที่ก่อให้เกิดสารพิษ "ท็อกซิน - Toxin" ตกค้างน้อยที่สุด
อาหารที่ชีวจิตแนะนำให้ " งด"
* เนื้อสัตว์ย่อยยาก ได้แก่ เนื้อ หมู ไก่
* แป้งขัดขาวและผลิตภัณฑ์จากแป้งขัดขาวทุกชนิด
* น้ำตาลฟอกขาวและผลิตภัณฑ์จากน้ำตาลฟอกขาวทุกชนิด
* ไขมันเลว คือไขมันอิ่มตัว ได้แก่ ไขมันจากสัตว์ น้ำมันปาล์ม และกะทิ
* และแนะนำให้รับประทานอาหารในแต่ละมื้อให้สมดุลตาม สูตรสัดส่วนอาหารชีวจิต
อย่างไรก็ตาม อาหารชีวจิตนั้นนอกจากคำนึงถึงคุณประโยชน์แล้ว ยังให้ความสำคัญกับความอร่อย และต้องน่ากินด้วย คือ ถึงแม้รสชาติจะไม่จัดจ้านเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด แต่เราเน้นความกลมกล่อมแบบพอดีๆ
ถ้าคุณยังนึกภาพเมนูอาหารชีวจิตไม่ได้ ลองดูที่ ครัวชีวจิต หรือตำราอาหารชีวจิต
ในหมู่ชาวชีวจิตเราพูดกันเสมอว่า การทำอาหารให้อร่อยนั้น ไม่ได้ยากเกินไป เพียงแต่ต้องใช้ฝีมือ ใช้ความรัก และความสนใจของแต่ละคน เรียกว่า " ทำและกินด้วยความรักและนับถือ"
ความรักนั้นคือ ความรักอาหาร และรักในการทำอาหาร มีความสนุกและเพลิดเพลินในการทำและกิน
ส่วนความนับถือนั้น เราต้องนับถือว่า อาหารนี้แหละคือสิ่งที่ให้ชีวิตแก่เรา และจะกลายเป็นเลือดเป็นเนื้อของเราเอง เราเป็นหนี้บุญคุณของอาหารอาหารประเภทแป้งซึ่งไม่ขัดขาว
เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ถ้าเป็นข้าวโพด จะเป็นข้าวโพดทั้งเมล็ดหรือทั้งฝัก และถ้าเป็นแป้งขนมปัง ก็เป็นขนมปังโฮลวีท และถ้าจะให้เป็นแป้งกลุ่มคอมเพล็กซ์ คาร์โบไฮเดรต คือเป็นแป้งหลายชั้นซึ่งมีโปรตีนปนอยู่ด้วย ก็ควรเติมมันเทศ มันฝรั่ง เผือก ฟักทองลงไป
กลุ่มนี้ รับประทาน 50% หรือครึ่งหนึ่งของแต่ละมื้อ ผัก
ใช้ทั้งผักดิบและผักปรุงสุกอย่างละครึ่ง ผักถ้าปลูกเอง ไม่ใช้สารเคมีจะดีที่สุด แต่ถ้าต้องซื้อจากตลาด ต้องเลือกผักที่ปลอดสาร ล้างผ่านน้ำ และแช่น้ำด่างทับทิมหรือแช่น้ำส้มสายชูเจือจางสัก 1-2 ชั่วโมง ก็จะช่วยล้างสารพิษได้ด้วย รับประทานผักหนึ่งในสี่หรือ 25% ของปริมาณอาหารที่กินในแต่ละมื้อ
ถั่วต่างๆ อยู่ในประเภทโปรตีน เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ โปรตีนเกษตร รับประทาน 15% ของแต่ละมื้อ นอกจากนี้ จะใช้โปรตีนจากสัตว์เป็นครั้งคราว คือ ไข่ ปลา และอาหารทะเล สัปดาห์ละ 1-2 มื้อ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)