วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552

มาหม้ำบลูเบอร์รี่กันนะ




ใครที่ชอบรับประทานบลูเบอร์รี่ผลไม้สีม่วงเข้มเตรียมเฮบ้าง ส่วนคนที่ขายน่าจะทำให้ขายได้ดีขึ้น เนื่องจากมีการศึกษาล่าสุดเมื่อไม่นานนี้เองพบสารอาหารที่พบในผลบลูเบอร์รี่มีฤทธิ์สามารถลดระดับ คลอเลสเตอรอล ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นักวิจัยด้านเคมี Agnes Rimandoจากสถาบัน U.S. Department of Agriculture กล่าวว่าสารอาหารที่ว่านี้มีชื่อว่า pterostilbene ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้าน อนุมูลอิสระ ชนิดหนึ่งทำให้มีผลในการลด คลอเลสเตอรอล ในร่างกายและเชื่อว่าน่าจะนำมาพัฒนาเป็นยาเพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่อง คลอเลสเตอรอล สูง อย่างไรก็ตามการค้นพบนี้ยังเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นเนื่องจากเป็นเพียงกการทดลองในหนูและจะต้องมีการพัฒนาเพื่อนำมาทดลองในมนุษย์ต่อไป ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าขนาดหวังผลการลดระดับ คลอเลสเตอรอล ดังกล่าวในมนุษย์นั้นจะต้องรับประทานบลูเบอร์รี่จำนวนเท่าใด

จากข้อมูลการวิจัยพบว่าบลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีการระบุว่าเป็นผลไม้เพื่อ สุขภาพ เป็นผลไม้ที่มีการพบปริมาณของสารต้าน อนุมูลอิสระ ในปริมาณสูงที่ช่วยต้านการทำลายเซลของร่างกายและสารอีกหลายชนิดที่มีฤทธิ์ในการต้าน มะเร็ง และจากผลวิจัยล่าสุดนี้เองที่พบว่าสารที่มีมากในบลูเบอร์รี่คือเพคตินที่ทำหน้าช่วยลดระดับ คลอเลสเตอรอล ในร่างกาย และยังมีการวิจัยอื่นๆ อีกที่สนับสนุนว่าบลูเบอร์รี่ช่วยเพิ่มความสามารถในการจำอีกด้วย

นักวิจัยยังกล่าวอีกว่าสาร pterostilbene ในบลูเบอร์รี่ที่ว่านี้มีคุณสมบัติคล้ายๆ กับ resveratrol ที่พบในองุ่นและไวน์แดง ซึ่งก็มีฤทธิ์ลดระดับ คลอเลสเตอรอล เช่นกัน อีกทั้งมีนักวิจัยหลายท่านพบสาร pterostilbene นี้ในองุ่นด้วยแต่นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการพบในบลูเบอร์รี่

ในการศึกษานี้ได้ทำในมหาวิทยาลัยเภสัชศาสตร์มิสสิซิปปี้ (The University of Mississippi School of Pharmacy) โดยทดลองในเซลตับของหนูด้วยสารที่สกัดจากผลบลูเบอร์รี่ 4 ชนิดพบว่า pterostilbene จะให้ผลแรงที่สุดในการลดระดับ คลอเลสเตอรอล และระดับไขมันในเลือด ทั้งนี้ผลของมันมีฤทธิ์พอๆ กับ ciprofibrate ซึ่งเป็นยารักษาในผู้ป่วยที่มีปัญหา คอลเลสเตอรอล และไขมันในเลือดสูง และมีฤทธิ์แรงกว่า resveratrol แต่ยา ciprofibrate ซึ่งเป็นยารักษาในปัจจุบันจะมีปัญหาอาการข้างเคียง เช่น ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่าสารจากบลูเบอร์รี่นี้จะมีประสิทธิภาพสูงแต่อาการข้างเคียงน้อยกว่า มันจึงน่าสนใจมากกว่านั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น: